การเปลี่ยนชื่อของแบรนด์ยักษ์ใหญ่ Wal-Mart Stores สู่ “Walmart” กำลังจะมีผลตามกฎหมายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2018 นี้ หลังจากที่ใช้งานชื่อเดิมอย่าง Wal-Mart Stores มายาวนานถึง 47 ปี แต่ไม่ใช่มีแค่ Walmart ที่เปลี่ยนชื่อเพื่อให้ตอบโจทย์การแข่งขันมากขึ้น เพราะในอดีตยังมีอีกมากมายหลายบริษัทเลยทีเดียวที่ใช้กลยุทธ์นี้และประสบความสำเร็จมาแล้ว
โดยเบื้องหลังที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ นัยว่า Walmart นั้นเป็นชื่อที่ตอบโจทย์มากกว่าเมื่อบริษัทต้องเข้าสู่สมรภูมิ e-Commerce เพื่อแข่งกับ Amazon นั่นเอง และเพื่อเข้าแข่งขันบน e-Commerce เต็มรูปแบบ ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา Walmart มีการเพิ่มไอเท็มสินค้าที่วางจำหน่ายบนออนไลน์ขึ้นกว่าสามเท่าตัว และยังเอาใจผู้ซื้อด้วยนโยบายส่งฟรี หรืออำนวยความสะดวกให้ไปรับสินค้าได้ที่ห้างฯ ซึ่งผลก็คือในไตรมาสที่ 3 ของงบการเงินปี 2017 Walmart มียอดขายด้าน e-Commerce เติบโตขึ้นถึง 50%
โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะเริ่มมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ กับสาขาของ Walmart ทั้งหมดที่มีมากกว่า 11,600 สาขา ซึ่งจะเห็นได้ว่าในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ทุกคนต้องปรับตัว แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่มีแค่ Walmart ที่ต้องเผชิญแค่บริษัทเดียว เพราะหากย้อนไปในอดีต ยังมีอีกหลายบริษัทเลยทีเดียว ที่มีการ “เปลี่ยนชื่อ” เพื่อให้ตนเองก้าวต่อไปได้ไกลมากขึ้น ยกตัวอย่างหนึ่งในแบรนด์ที่เคยเปลี่ยนชื่อก็คือ Starbucks โดยเมื่อแรกเริ่ม (ปี 1971) Starbucks เคยใช้ชื่อว่า Starbucks Coffee, Tea and Spice หรือ Nike เองก็เคยมีชื่อเดิมว่า Blue Ribbon Sports
ด้านบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง IBM ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ใช้ชื่อนี้เช่นกัน โดยชื่อเดิมของ IBM คือ Computing-Tabulating-Recording Company (CTR) ก่อนจะมาเปลี่ยนเป็น “International Business Machines” หรือตัวย่อว่า IBM เมื่อปี 1924
มี IBM แล้วไม่มีบริษัท Apple Computer คงไม่ได้ เพราะ Apple Computer ก็เคยเปลี่ยนชื่อโดยตัดคำว่า Computer ทิ้งไปมาเป็น Apple Inc. ในปี 2007 เช่นกัน ซึ่งการเปลี่ยนชื่อนั้นก็เพื่อให้ตอบโจทย์ผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่มีหลากหลายมากขึ้นทั้ง iPod, iPhone, Apple TV นั่นเอง
หรือในวงการเกม ชื่ออย่าง Marafuku Company บริษัทที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1889 คือชื่อในอดีตของบริษัท Nintendo โดยมีการเปลี่ยนสองครั้งจาก Marafuku Company เป็น Nintendo Playing Card Company ในปี 1951 และในปี 1963 ก็เปลี่ยนมาเป็น Nintendo ที่เราทุกคนคุ้นเคยกันดี
แต่ใช่ว่าเปลี่ยนชื่อแล้วจะประสบความสำเร็จทุกราย เพราะหลายคนคงจำกันได้ดีกับ Research in Motion เจ้าของผลิตภัณฑ์ Blackberry ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1984 ในฐานะบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีด้านการสื่อสารแบบไร้สายรายแรกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งโปรดักซ์ของบริษัทอย่าง Blackberry ก็ได้รับความนิยมมากมายในยุคหนึ่ง ก่อนจะถูกลดความสำคัญลงในยุคของ iPhone จนแทบจะหายไปจากท้องตลาด ซึ่งบริษัทได้พยายามหลายทางเพื่อจะกลับมา รวมถึงการเปลี่ยนชื่อจาก Research in Motion เป็น Blackberry เมื่อปี 2013 ด้วย
จะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนชื่อบริษัทนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของธุรกิจ และแต่ละบริษัทก็มีเหตุผลแตกต่างกันไป เช่น ชื่อเดิมไม่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่แล้ว หรือชื่อเดิมนั้นธรรมดาเกินไป เปลี่ยนเป็นชื่อใหม่ให้ดูพิเศษไปเลยน่าจะดีกว่า ส่วนกรณีของ Walmart นั้น ความน่าติดตามคงเป็นเรื่องของการแข่งขันกับ Amazon ในปีหน้าอย่างแน่นอน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : CNBC, Morning Call