อีกความเคลื่อนไหวน่าสนใจของวงการสื่อในยุคดิจิทัล สำหรับ Warner Bros. สตูดิโอผลิตภาพยนตร์และรายการทีวีในเครือ Time Warner ที่ตกลงซื้อเครือข่ายนักเล่นเกมออนไลน์ Machinima แล้วเพื่อเสริมแกร่งอาณาจักรดิจิทัลในตลาดเกม
การซื้อขายกิจการครั้งนี้ถูกระบุว่าจะตอบโจทย์ Machinima ให้สามารถเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยรายละเอียดดีลไม่มีการเปิดเผยจำนวนเงิน มีเพียงคำยืนยันว่าแบรนด์ Machinima จะยังดำเนินกิจการต่อไปในฐานะบริษัทลูกของ Warner Bros. Digital Networks
ความเคลื่อนไหวนี้น่าสนใจ เพราะ Warner Bros. เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายรายการทีวีรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ และการซื้อ Machinima เกิดขึ้นหลังจากเริ่มลงทุนครั้งแรกเมื่อปี 2014 การซื้อครั้งนี้ถูกวิเคราะห์ว่าทำให้ Warner Bros. สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายบนโลกออนไลน์ได้โดยตรง ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์บุกหนักตลาดความบันเทิงบนโลกออนไลน์
สำหรับ Machinima นั้นมีดีกรีเป็นบริษัทเกมออนไลน์อันดับ 10 ของสหรัฐฯ ไม่เพียงเกมเมอร์ แต่ช่องเกม “Machinima” บน Youtube นั้นยังดึงดูดคอภาพยนตร์และแผนรายการโชว์ทีวีซึ่งเกี่ยวข้องกับ DC Comics ซึ่งอยู่ในเครือ Warner Bros. เช่นกัน ตามข้อมูลจาก Craig Hunegs ประธานกลยุทธ์ธุรกิจของ Warner Bros.
ทั้งหมดนี้ทำให้ Machinima สามารถต่อยอด Warner Bros. Digital Networks ซึ่งเจ้าพ่อคอนเทนต์เริ่มก่อตั้งเมื่อมิถุนายนที่ผ่านมาเพื่อขยายตลาดเว็บวิดีโอช่องทางใหม่ โดยหน่วยธุรกิจนี้มีแผนขยายถึงบริการ DramaFever ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามแหล่งสตรีมภาพยนตร์และรายการทีวีโชว์ของเกาหลี รวมถึง Warner Archive Instant บริการสมาชิกเพื่อรับชมภาพยนตร์คลาสสิกของค่าย
การซื้อกิจการนี้ทำให้หลายคนหันไปมอง AT&T ซึ่งกำลังเดินหน้าดีลซื้อ Time Warner ด้วยราคา 8.54 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยต้นสังกัดของ Warner Bros. อย่าง Time Warner นั้นมีเพชรที่ AT&T อยากได้มาครอบครองคือ HBO และ CNN ซึ่งคอนเทนต์เหล่านี้ถูกหมายมั่นว่าจะช่วยให้ AT&T ส่งบริการวิดีโอออนไลน์ถึงผู้ใช้สมาร์ทโฟนได้หลากหลายกว่าเดิม
ไม่ว่าดีลนี้จะได้รับการอนุมัติหรือไม่ในปีหน้า (ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump เคยหาเสียงว่าจะไม่อนุมัติให้ AT&T ซื้อ Time Warner เพื่อป้องกันไม่ให้คนอเมริกันได้รับผลกระทบจากการที่สื่อทรงอิทธิพลของชาวอเมริกันจะตกไปอยู่ในมือของคนไม่กี่คน) แต่ข่าวนี้ตอกย้ำชัดเจนว่าผู้ผลิตคอนเทนต์รายใหญ่เริ่มขยับตัวอย่างรวดเร็วบนโลกออนไลน์แล้ว
ที่มา: MarketingDive