ถ้ามองตลาดแอปพลิเคชันประเภทแชทในปัจจุบัน WhatsApp นั้นถือเป็นแอปพลิเคชันประเภทแชทที่มียอดผู้ใช้งานมากที่สุดที่ 500 ล้านราย แต่ถึงแม้จะมีจำนวนผู้ใช้งานจำนวนมาก แต่แอปพลิเคชันประเภทแชทที่มีจำนวนผู้ใช้งานเติบโตเร็วที่สุดกลับตกเป็นของคู่แข่งอย่าง WeChat
จากข้อมูลของ GlobalWebIndex ผู้ให้บริการงานวิจัยด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคแบบออนไลน์ เผยว่าแอปพลิเคชัน WeChat ของ Tencent นั้นเป็นแอปพลิเคชันประเภทแชทที่มีอัตราการเติบโตของจำนวนผู้ใช้งานนอกประเทศจีนมากถึง 1099% ระหว่างช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2013 ถึง ไตรมาสที่ 1 ปี 2014
ด้วยตัวเลขดังกล่าวทำให้ WeChat กลายเป็นแอปพลิเคชันประเภทแชทที่มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเร้วที่สุดในโลก โดยตลาดหลักของ WeChat นอกเหนือจากประเทศจีนนั้นได้แก่ ประเทศมาเลย์เซีย (33%), ฮ่องกง (32%), อินเดีย (21%) และอินโดนีเซีย (18%)
โดยทาง GlobalWebIndex ยังได้ให้ข้อมูลอีกว่ากลุ่มประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกนั้นเป็นกลุ่มสำคัญที่ทำให้ WeChat มีจำนวนผู้ใช้งานที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว รองจากประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกแล้ว WeChat ก็ยังได้รับความนิยมจากประเทศแถบละตินอเมริกา, ตะวันออกกลาง และ แอฟฟริกา ตามมาด้วยสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรเช่นกัน
นอกจากนี้ในประเทศจีน WeChat ยังคงเป็นแอปพลิเคชันประเภทแชทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศจีน โดยประชากรผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในประเทศจีนที่มีอายุระหว่าง 16 – 64 ปีถึง 73% ใช้งานแอปพลิเคชันดังกล่าว ส่งผลให้ WeChat กลายเป็นแอปพลิเคชันประเภทแชทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกอันดับที่ 4 ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 13%
แต่อย่างไรก็ตามแอปพลิเคชันประเภทชื่อดังรายอื่นๆ ก็ยังก็ยังมีการเติบโตของฐานผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง โดย WhatsApp นั้นเติบโตขึ้นถึง 39% เมื่อไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา ในขณะที่ Facebook Messenger และ Skype นั้นโตขึ้นถึง 37% เมื่อช่วงไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมาเช่นกัน
โดยในประเทศอินเดียนั้น WeChat มียอดผู้ใช้งานมากถึง 50 ล้านราย และมีอัตราการเติบโตถึง 1774% ในขณะที่ WhatsApp มียอดผู้ใช้งานเติบโตขึ้นเพียง 177% เมื่อปี 2013 ที่ผ่านมา ซึ่งทาง GlobalWebIndex ก็ได้คาดการณ์ว่า WeChat จะสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากถึง 35% ในช่วงต้นปี 2015 หมายความว่า WeChat จะสามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานได้มากถึง 90 ล้านราย และด้วยฟังก์ชันที่ WeChat มีให้ผู้ใช้งานอย่างหลากหลาย WeChat อาจกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของ WhatsApp ในอนาคต
ที่มา : Business 2 Community