เมื่อต้นปีผมเคยเขียนสรุปแนวคิดเรื่อง “แนวโน้มการตลาดออนไลน์” ประจำปีเอาไว้ในนิตยสาร Positioning เพื่อที่จะบอกถึงความเป็นไปได้ มาวันนี้ผ่านมาแล้ว 3 เดือน อยากรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นตามที่คาดการณ์เอาไว้ มาดูกันเลย
ผมเคยเขียนเอาไว้หลักๆ 5 ข้อ ว่า ปี2554 จะเป็นปีที่เราลงมือทำจริงๆ จังๆ โดยเฉพาะการนำ Social Technology มาใช้กับแคมเปญการตลาดในปีหน้า ในแบบ Conversational marketing ด้วยความจำเป็นด้าน Cost, การวัดผลได้ หรือแม้แต่การใช้มันเป็นสีสันทางการตลาดแบบทั่วๆ ไปที่มีทำกันมาหลายปีแล้ว แต่ปรากฏว่า 5 ข้อที่ผมเขียนไป มีเกิดขึ้นเพียง 4 ข้อ
1. มองที่คุณค่าแท้จริงของอินเทอร์เน็ตมากยิ่งขึ้น มากกว่าเป็นเพียงสีสันทางการตลาด –> ข้อนี้เกิดขึ้นจริงในบางส่วน ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือการที่นักการตลาดเริ่มสนใจสื่อสารแบรนด์ผ่านทาง? Influencer มากยิ่งขึ้น ตอนนี้ Blogger คนไหนที่สนใจเรื่องอะไร หากคุณเขียน Blog ได้น่าสนใจมีคนติดตาม รับรองว่าไม่นานมีคนติดต่อคุณแน่นอน แต่ส่วนใหญ่แล้วแคมเปญในเมืองไทยก็จะยังใช้อินเทอร์เน็ตไปในทางการสร้างสีสันเช่นเคย โดยเฉพาะการใช้ Facebook เป็นสีสันทางการตลาด จนเดี๋ยวนี้แทบไม่ต้องทำเว็บไซต์ของแคมเปญขึ้นมาเลย แต่ใช้ Facebook แทน เช่น http://www.facebook.com/ColgateThailand ในการสื่อสาร ส่วน http://www.colgateprofessional.co.th/ จะเน้นไปในเรื่องการให้ความรู้เรื่องสุขภาพ ปากและฟันแทน ในรูปแบบของ Q&A Marketing
2. อาชีพ Social Media Manager, Community Manager จะเป็นที่ต้องการขององค์กรในวงกว้างมากขึ้น –> ข้อนี้เกิดขึ้นจริง และที่ผมยังคงติดตามอย่างสม่ำเสมอก็คือ ทีมงาน KBank ที่หาคนมาดูแล Facebook Page แบบแอคทีฟมากๆ มีทั้งข่าวสารอัพเดต เกร็ดน่ารู้หลากหลาย และแชร์ประสบการณ์กันได้ระหว่างลูกค้ากับทางธนาคาร ปัจจุบันมีคนติดตามถึง 127,724 ราย นอกจากนี้รวมถึง twitter.com/KBank_Live ที่มี Follower สูงถึง 32,549 แต่อย่างไรก็ตาม จำนวนคนที่ติดตามทั้ง Facebook และ Twitter ไม่ได้สำคัญเลยหาก? Social Media Manager, Community Manager ไม่รู้จักในการทำ CRM ให้ลูกค้า และที่เราเห็นคือแบรนด์อื่นๆ ทำตามกันมาเรื่อยๆ ยิ่งถ้าเกี่ยวกับ Pop Culture และศิลปินมาดูแล Page เองด้วยก็จะยิ่งดังเข้าไปใหญ่ เช่น นักดนตรีวง Singular http://www.facebook.com/thesingularband ที่มีคนติดตามถึง 335,496 คน
3. แอบคิดดังๆ ว่า Online marketing budget สูงขึ้น 2% เป็น 4% – ข้อนี้ยังไม่เกิดขึ้นตอนนี้ จะวัดผลกันอีกทีสิ้นปีครับ
4. คนไทยจะเริ่มรู้จัก Social Collaboration มากขึ้น และมีนำมาใช้ในการตลาดมากขึ้น – ผมว่าเราเริ่มมี Social Collaboration มากขึ้นจริงๆ ทั้งในแง่บวกแง่ลบ อย่างที่เห็นตอนนี้ก็เช่นแคมเปญคลิก Like ยิ่งมากก็ยิ่งทำบุญกันมาก ที่กลายเป็น “ดราม่า” ประจำวงการไป แต่ก็ยังมีด้านดีๆ น่ารักๆ อย่างพี่เบิร์ด ออกมารณรงค์ร่วมกันบริจาคให้ชาวญี่ปุ่นกับเพลงพิเศษเพลงใหม่ Thai for Japan มิวสิควิดีโอก็เน้นเรื่องการถ่ายคนทั่วไปมาร่วมกันถ่ายมิวสิควิดีโอ ให้เห็นภาพความสามัคคี ไม่เน้นพี่เบิร์ดคนเดียว ซึ่งเป็นเรื่องดีที่แกรมมี่ออกมาทำแคมเปญนี้ น่าจะดีกับสังคมและภาพลักษณ์ของ “พี่เบิร์ด” เองและแกรมมี่เอง และที่น่าสนใจอีกเรื่องก็คือเรื่องการรณรงค์ “คนไทยขึ้นบันไดยืนชิดขวา” ที่ http://www.facebook.com/standontheright
5. โดเมนไทยอย่าง .in.th จะได้รัีบความนิยมมากขึ้น – อันนี้เกิดขึ้นจริง และชัดเจนมาก โดยเฉพาะแคมเปญที่ผสมสื่อออฟไลน์กับออนไลน์เข้าด้วยกัน แล้วแคมเปญนั้นอยากจะจดโดเมนเนมขึ้นใหม่ แต่ .com, .net? เต็มไปหมดแล้ว? .in.th จึงผงาดขึ้นมาแทน อันนี้ก็ถือว่าเป็นขาขึ้นของผู้ให้บริการจดโดเมนเนมอย่าง THNICs
จริงๆ ปีนี้ยังมีอะไรต้องดูกันอีกเยอะ เช่น Video, Mobile, Data ที่ต้องดูกันอีกมาก ไม่ใช่แค่ Social Media ผมมองประมาณนี้ครับ แล้วคุณล่ะคิดอย่างไร? แนวโน้มการตลาดออนไลน์ปีนี้น่าจะมีอะไรอีก?