ไม่นานมานี้ ผมมั่นใจว่าบรรดาแอดมิน Facebook Page ทั่วไทยคงปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อย เมื่อจู่ๆ Facebook ก็เริ่มปรับลดอัตราการเข้าถึงกลุ่มแฟน (แบบที่ไม่ต้องจ่ายเงิน หรือที่ Facebook เรียกว่า “Organic Reach”) ว่ากันว่าเหลือเพียง 1-2% เท่านั้น ส่งผลให้จากที่เราเคยโพสต์อะไรๆ มีคน Like เป็นพันคนได้ไม่ยาก ตอนนี้เหลือ สัก 100 คนก็เก่งแล้วล่ะครับ แบบนี้เราก็ลำบากน่ะสิ? แล้วเราควรจะทำอย่างไรต่อไป? วันนี้ผมมีไอเดียบางอย่างมานำเสนอ
ก่อนที่จะลงรายละเอียด เรามาพิจารณาถึงเหตุผลและความเป็นไปได้ที่ Facebook เริ่มลด Organic Reach กันดีกว่า ซึ่งจากการคาดเดาของผม มันคงไม่พ้นสาเหตุต่อไปนี้ครับ
1.) Facebook ต้องรักษาตัวเองไว้ไม่ให้กลายเป็นพื้นที่ที่มีไว้ปล่อยแต่โฆษณามากเกินไป ลองนึกภาพดูว่าถ้า Facebook ปล่อยให้เจ้าของเพจในแต่ละหมวดโพสต์อะไรก็ได้ตามใจ ก็จะมีแต่ข้อมูลการขาย ลดแลกแจกแถมสนั่นลั่นจอ ไม่มีพื้นที่เอาไว้ให้คนได้คุยกันจริงๆ จังๆ
2.) Facebook ต้องเพิ่มรายได้จากการโฆษณา เพราะการที่แอดมินไม่สามารถเข้าถึงคนได้มากเท่าเดิม บีบให้ต้องซื้อ Facebook Ads มากขึ้นโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็น Page ของแบรนด์ใหญ่ หรือ Page ของธุรกิจ SME
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ก่อนอื่นเราก็ต้องทำใจว่า Facebook ไม่ใช่เครื่องมือในการทำ Earn Media แบบที่หลายคนเคยคิด หากแต่กลายเป็น Paid Media เต็มขั้น จะแตกต่างจากสื่อกระแสหลักไปก็ตรง Facebook มีโอกาสในการเข้าถึงคนไทยกว่า 24 ล้านคนทั้งบน Desktop, Tablet, smartphone และวัดผลได้ชัดเจนกว่า
เข้าเรื่องเสียที 3 ข้อนี้ผมขอนำเสนอครับ
1. ช่วงใช้ Social Network พระรองให้คุ้มค่า – ผมเคยเขียนนำเสนอเอาไว้ว่าในวันที่ Facebook เป็นเสมือน “พระเอก” ของโลก Social Network บรรดา Social “พระรอง” อย่าง YouTube, Twitter, Instagram, Google+ ถูกมองข้ามไปมาก แต่วันนี้ Organic Reach ของ Facebook ลดลง นี่จึงเป็นจังหวะที่เหมาะสมสำหรับนักการตลาดทุกท่านจะเรียกกำลังพลเสริมของบรรดาพี่ๆ “พระรอง” มาใช้ให้คุ้มค่า อย่างผมเองจะแอบไปจดชื่อที่อยากได้กันไว้ก่อนหลายๆ Social Network สมมุติเช่น ผมเปิดร้านขายอาหารสุนัข ชื่อ PetFever จดชื่อนี้ไว้กับ Facebook แล้วก็ไปจดชื่อ PetFever เอาไว้ที่ YouTube, Twitter, Instagram, Google+ เช่นเดียวกัน วันนี้เนื่องจากจดเตรียมไว้ ก็เลยได้ชื่อเดียวกันมาใช้ครบเลยครับ ลองอ่านวิธีใช้ Social Network พระรองได้ที่นี่
2. “Fan คือสินทรัพย์” จงรักษาไว้ให้ดีด้วยกระบวนการ Brand Advocate – ในห้องสัมมนาและฝึกอบรม ผมจะบอกกับทุกคนว่า Fan คือสินทรัพย์ของนักการตลาด เพราะเขาเป็นว่าที่ลูกค้าของคุณ ดังนั้นการที่ใครมาคลิก Like ที่ Page ของคุณอาจไม่ได้หมายถึงตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอีกเพียง 1 คน แต่เขาคือคนที่ให้ใจ ไว้ใจ และยอมเสียเวลาคลิก Like Page ของคุณโดยไม่ Unlike ไปเสียก่อนเมื่อคุณซื้อ Page Post แบบกระหน่ำ! นอกจากนี้ต้นทุนในการสร้าง Fan ใหม่ยังแพงกว่าการรักษา Fan เก่า ดังนั้นเมื่อได้มาแล้วซึ่งแฟน กรุณารักษาให้ดี ซึ่งหนึ่งในวิธีการรักษาสินทรัพย์ของเราไว้ก็คือการดูแลลูกค้าในฐานะ Brand Advocate หรือการดูแลคนที่รักแบรนด์ของเรา เพื่อให้เขาหรือเธอช่วยบอกและแพร่กระจายข่าวสารที่ดีเกี่ยวข้องกับแบรนด์ของคุณต่อไปในระยะยาวนั่นเอง
3. มุ่ง Optimize ประสิทธิผลของ Facebook – เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะต้องทำ Facebook Ads เราจำเป็นต้องจ่าย Facebook ดังนั้นเมื่อจะจ่ายแล้ว ต้องทำให้คุ้มค่าเงิน ด้วยการ Optimize โฆษณาให้ดีที่สุด เช่น มีเงิน 1,000 บาท ไม่ใช่ reach ทุกคนที่เล่น Facebook แต่กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัด เช่น ผู้หญิง อายุ 18-24 ปี อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร และสนใจเรื่องสัตว์เลี้ยง หรือเริ่มเขียน Copy ให้มันโดนใจกลุ่มเป้าหมายมากกว่าเดิม รวมถึงการปรับให้ Cost-per-like ต่ำกว่าที่เคยซื้อ
และทั้งหมดนี่ก็คือ 3 ไอเดียของผม คุณคิดอย่างไร คิดว่ามันพอจะมีประโยชน์กับคุณบ้างไหม คุณมีไอเดียแตกต่างไปหรือเปล่า แชร์กันนะครับ