ระหว่างสอนหลักสูตรผู้นำของบริษัทชั้นนำแห่งหนึ่ง มีคำถามจากผู้เรียนที่แหลมคมและควรค่าแก่การนำมาแลกเปลี่ยนอย่างยิ่งครับ
“ทำไมผู้นำถึงมีแต่เรื่องเครียดๆ มีอะไรสนุกกว่านี้ไหม”
คำถามเรียกเสียงหัวเราะจากคนทั้งห้องและดูเหมือนจะไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจัง แต่จริงๆ แล้วคำถามนี้มีประเด็นมากครับ
ถ้าเราดูซีอีโอหรือคนดังที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Mark Zuckerberg, Steve Jobs, Warren Buffet แน่นอนว่าคนเหล่านี้มีทักษะเฉพาะเก่งกล้า แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีร่วมกันคืออารมณ์ขัน (humor)
เพราะไม่ว่าในการให้สัมภาษณ์สื่อระดับโลก ระหว่างการพรีเซนต์เปิดตัวสินค้า ระหว่างการประชุมพนักงาน เราเห็นว่าผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดเหล่านี้จะชอบเล่าเรื่องขำขัน หยอดมุก แหย่นักข่าวหรือคนฟังอยู่เสมอ
แต่เพราะอะไรล่ะ นี้เป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือเป็นคุณสมบัติที่ดีของผู้นำจริงๆ…
Jannifer Aaker และ Naomi Bagdonas จาก Stanford University วิจัยอารมณ์ของผู้นำทั่วโลกและพบว่าอารมณ์ขันเป็นหนึ่งใน “อาวุธ” ที่ผู้ทรงอิทธิพลเหล่านี้ใช้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ เสน่ห์ และพลังให้แก่ตัวเอง
“การสำรวจพบว่าพนักงานตั้งแต่อายุ 23 ปีขึ้นไปทั่วโลกมีแนวโน้มหัวเราะน้อยลง และไม่ค่อยมีเรื่องสนุกในชีวิต” นักวิจัยกล่าวและพอสรุปได้ว่าชีวิตของคนทำงานรุ่นใหม่นั้นร่ายล้อมไปด้วยความเครียด ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่อง ทั้งจากภัยพิบัติรูปแบบใหม่ และความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่ค่อยๆ ห่างเหินกัน
เมื่อชีวิตกว่า 9 ชั่วโมงต่อวันของพนักงานถูกใช้ไปในที่ทำงาน จึงไม่น่าแปลกใจหรอกหากคนรุ่นใหม่จะอยากเห็นซีอีโอของบริษัทตัวเองเป็นคนน่ารัก มีอารมณ์ขันและทรงเสน่ห์
“ผู้นำรุ่นใหม่มักไม่แน่ใจว่าพวกเขาควรวางตัวอย่างไรในบริษัท ทำตัวซีเรียสกับงานและเป็นคนสบายๆ อารมณ์ดี คำแนะนำของเราคือสมดุลสองเรื่องนี้ดีกว่า” นักวิจัยชี้และเราเห็นด้วยเพราะพลังของอารมณ์ขันและเสียงหัวเราะนั้นมีมากกว่าที่เราคิดมากนัก
อำนาจของอารมณ์ขัน
เรารู้อยู่แล้วว่าอารมณ์ขันช่วยให้วัฒนธรรมองค์กรผ่อนคลายลง ลดความเครียด เสริมสร้างความสัมพันธ์ และเพิ่มความไว้วางใจระหว่างพนักงานด้วยกัน แต่ไม่เพียงเท่านั้นเพราะงานวิจัยชี้ต่อไปว่าอารมณ์ขันยังเป็นตัวชี้วัดว่าคุณมีสถานะอย่างไรในบริษัท สังเกตว่าผู้นำองค์กรที่มีอำนาจมักหัวเราะเสียงดัง เปิดเผย และโทนเสียงสูง เพราะการหัวเราะเช่นนี้แสดงถึงอำนาจและความมั่นใจ คนที่อยู่ในตำแหน่งสูงๆ จะกล้าเปิดเผยอารมณ์ของตัวเองอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเพราะรู้ว่าตัวเองควบคุมสถานการณ์ได้อยู่หมัด
การหัวเราะและอารมณ์ขันยังเชื่อมโยงกับความเฉลียวฉลาด ลองคิดถึงมุกตลกเด็ดๆ สักมุกตอนนี้แล้วคุณจะพบว่าคนที่คิดมุกนี้ขึ้นมาช่างเก่งกาจเสียจริง ผู้นำที่ดีมีความคิดสร้างสรรค์ ผูกโยงเรื่องราวเก่ง กล้าเสี่ยงกับการเสียหน้าจากมุกแป้ก และมีความมั่นใจ
อย่างไรก็ตาม แม้อารมณ์ขันมักเชื่อมโยงกับความฉลาดและความสามารถ แต่บางกรณีอารมณ์ขันก็ไม่น่าชื่มชมเท่าไหร่โดยเฉพาะเมื่อคุณเลือกหัวข้อขำขันแย่ๆ เช่น เหยียดเพศ เหยียดผิว หรือการทำให้คนอื่นเป็นตัวตลก อารมณ์ขันลักษณะนี้จะสร้างศัตรูให้คุณโดยไม่รู้ตัว พนักงานบางคนที่เกลียดหรือซีเรียสกับหัวข้อเหล่านี้เข้าเส้นจะเกิดความไม่พอใจและหาทางเอาคืนคุณเมื่อสบโอกาส
ฝึกอย่างไรเพื่อเป็นคนมีอารมณ์ขัน
ข่าวดีคือผู้นำบางคนเกิดมาพร้อมกับอารมณ์ขัน พวกเขาสามารถทำให้คนอื่นหัวเราะได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีความสุขที่ทำอย่างนั้น แต่ถ้าคุณไม่ใช่หนึ่งในนั้นก็ไม่ต้องเสียใจไปเพราะอารมณ์ขันเป็นเหมือนกล้ามเนื้อ ยิ่งคุณฝึกฝนความตลกของคุณมากเท่าไหร่ คุณก็จะสามารถแสดงอารมณ์ขันได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น
คุณสามารถสอดแทรกมุกตลกหรืออารมณ์ขันได้บ่อยๆ เช่น ในการกล่าวเปิดประชุม การเขียนอีเมล์ หรือแม้แต่การสนทนาทั่วไป แต่มุกตลกนั้นต้องมีรสนิยม ดูน่ารัก และไม่มากเกินไปเพื่อเสริมภาพลักษณ์ให้คุณเป็นคนผ่อนคลาย ไม่ใช่คนไม่เอาไหนเอาแต่ตลกไปวันๆ
นอกจากอารมณ์ขันแล้ว ผู้นำควรแสดงให้ทุกคนเห็นว่าชีวิตของคุณสดใสซาบซ่าแค่ไหน อย่าพยายามบอกทุกคนว่าคุณเครียด เหนื่อย หรือไม่มีความสุขมากแค่ไหน (แน่นอนว่าการแสดงออกบางครั้งเป็นสิ่งที่ดีและควรทำเพราคุณยังเป็นมนุษย์ แต่ถ้าตลอดเวลาก็คงไม่ไหวมั้ง) อย่าลืมว่าชีวิตของพนักงานก็มีปัญหาและเรื่องเครียดมากมายอยู่แล้ว หากชีวิตคุณยังดราม่าหดหู่อีกพวกเขาก็คงสิ้นหวังกับบริษัทแล้วล่ะ
สุดท้าย อย่าลืมว่าเสียงหัวเราะและความขำขันเป็นดาบสองคมคือด้านหนึ่งมันอาจช่วยให้คุณสนิทสนมกับพนักงานได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งมันก็อาจทำให้พวกเขาผ่อนคลายเกินจนไม่สนใจงานและภาระของตัวเอง ดังนั้นหัวใจหลักของอารมณ์ขันผู้นำคือคุณต้องสมดุลมันระหว่างความซีเรียสกับอารมณ์ขันให้ได้สัดส่วนกันครับ