William Li เป็นผู้ประกอบการสัญชาติจีนที่เพิ่งร่วงลงจากอันดับมหาเศรษฐีโลก ผลจากมูลค่าหุ้นบริษัทสตาร์ทอัปรถยนต์ไฟฟ้าของเขา NIO ร่วงลง 58% ในปีนี้ entrepreneur อายุ 44 ปีซึ่งได้รับการขนานนามว่า “Elon Musk of China” จึงถูกโลกบันทึกว่ามูลค่าทรัพย์สินลดลงจาก 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐเหลือ 457 ล้านเหรียญสหรัฐ เรียกว่าความมั่งคั่งหดหายไป 743 ล้านเหรียญในเวลาน้อยกว่า 4 เดือน
ส่วนหนึ่งที่ทำให้สตาร์ทอัพ NIO พบกับภาวะหุ้นตกฮวบเช่นนี้คือผู้บริหารระดับสูง 2 คนที่เพิ่งลาออกไป ได้แก่ อดีตหัวหน้าฝ่ายซอฟต์แวร์คือ Li Zhuang และ Angelika Sodian ซึ่งเคยดูแลธุรกิจของ NIO ในสหราชอาณาจักร
นอกจาก 2 ผู้บริหารที่จะไม่ได้อยู่กับ NIO อีกต่อไป ยังมีกรณีที่ NIO จำเป็นต้องเรียกคืนรถเอสยูวี ES8 จำนวน 4,803 คันเพราะปัญหาแบตเตอรี่ร้อนจัดจนเกิดไฟไหม้หรือควัน จำนวนรถที่เรียกคืนคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของรถยนต์ที่จำหน่ายโดย NIO จนถึงปัจจุบัน
จากฟาร์มโคนมสู่ยูนิคอร์น
ก่อนจะมาเป็น “Elon Musk เมืองจีน” Li ก่อตั้งและนั่งเก้าอี้ประธานบริษัท Bitauto ซึ่งเป็นบริการเว็บคอนเทนต์สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ ตามข้อมูลระบุว่า William Li ขายบริษัทแรกทิ้งไปแล้วมาเริ่มก่อตั้งบริษัทผลิตรถพลังงานไฟฟ้าชื่อ NIO โดยยึดเซี่ยงไฮ้เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ จนเริ่มได้รับคำสั่งซื้อรถ SUV ไฟฟ้าคันแรกเมื่อธันวาคม 2017
NIO กลายเป็นบริษัทดาวรุ่งที่สามารถเพิ่มทุนได้มากกว่า 2,100 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กในกันยายน 2018
ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นทั้งที่ William Li จบการศึกษาปริญญาตรีด้านสังคมศาสตร์ วิชารองด้านกฏหมาย ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง จากหนุ่มน้อยที่เติบโตในมณฑลอานฮุยบนฟาร์มโคนม Li สามารถดึงเงินลงทุนจากยักษ์ใหญ่เช่น Tencent, Temasek, Buidu, Lenovo และ TPG ได้จนสามารถเปิดตัวรถ NIO EP9 หลังจากพัฒนานานเกือบ 18 เดือน
ในการสัมภาษณ์กับรายการ 60 Minutes ช่วงต้นปี 2019 หนุ่ม William Li วัย 44 ปีเผยว่าได้ผลิตรถไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ NIO มากกว่า 10,000 คันในปี 2017 จำนวนนี้เพิ่มเป็น 14,000 คันในปี 2018 คาดว่าบริษัทจะสามารถจัดส่งรถ 20,000 คันขึ้นไปได้ในปีนี้ 2019
ฝันอาจสลาย
ฝันของ NIO กำลังถูกจับตามองเป็นพิเศษ เพราะนักวิเคราะห์มองว่า NIO ต้องเผชิญกับภาวะฟองสบู่ของจีนในตลาดรถพลังงานไฟฟ้า ขณะนี้รัฐบาลจีนกำลังยกเลิกมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรม EV ข้อจำกัดนี้อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้นักเชื่อมั่นใน NIO น้อยลงทั้งที่ NIO ย้ำจุดยืนว่าอยู่รอดได้เนื่องจากขนาดที่ใหญ่ขึ้นและการเข้าถึงตลาดทุน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า บริษัทรถ EV หน้าใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์รองชั้น 2 อาจจะอยู่ไม่ได้นาน หลายบริษัทมีแนวโน้มขาดแคลนเงินทุนและส่งเสริมการผลิตได้ยาก ทำให้มีแนวโน้มสูงที่จะหาทางอยู่รอดด้วยการขายธุรกิจ
สำหรับ NIO สัญญาณน่าเป็นห่วงของบริษัทเริ่มเห็นชัดหลังไตรมาสแรก ปี 2019 โดยบริษัทรายงานว่าได้ส่งมอบรถ SUV ES8 จำนวน 3,989 คัน ลดลงจาก 7,980 คันในไตรมาสก่อนหน้า การลดลงนี้นำไปสู่การหดตัว 54.6% ของยอดขาย โดยยอดขายของ NIO อยู่ที่ 229 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น คิดเป็นตัวเลขขาดทุน 395 ล้านเหรียญ
ชะตากรรมของ NIO ยังอยู่ที่การแข่งขัน ซึ่งคาดว่าจะร้อนแรงยิ่งขึ้นเมื่อ Tesla เริ่มผลิตและขายรถอย่างเต็มรูปแบบในประเทศจีน ทั้งหมดนี้ทำให้ NIO และตัว William Li ถูกจับตาว่าจะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้สำเร็จหรือไม่
ที่มา: : Forbes