“ของมันต้องมี” เป็นคำพูดติดปากของใครหลายคนที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยครั้ง เสมือนเป็นคำพูดแทนใจของตัวเองที่กำลังหาเหตุผลในการจะซื้อของใดๆ ที่เราต้องการให้ได้ เช่น บางคนอาจจะกำลังกังวลว่า สินค้าชิ้นนี้แพงไปหรือเปล่า ซื้อมาแล้วจะได้ใช้อย่างคุ้มค่าหรือไม่ แต่พอคิดได้ว่า “ก็ของมันต้องมีอ่ะ!” การจับจ่ายซื้อขายก็จะง่ายไปโดยปริยาย
ซึ่งการพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบันก็ยิ่งตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคน Gen Y หรือคนในช่วงวัยทำงานให้สามารถ Take Action กับความต้องการของตัวเองได้ง่ายขึ้นอย่างมาก ทำให้แม้ว่าบางคนจะนอนอยู่บ้าน แต่ก็สามารถจับจ่ายสินค้าที่ตนอยากได้อย่างง่ายดาย
วันนี้ทางทีมงาน thumbsup ได้รับข้อมูลสถิติที่น่าสนใจจาก Wisesight และ TMB ทั้งที่เกี่ยวกับการใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์ และพฤติกรรมด้านการเงินของคน Gen Y จึงนำมาสรุปให้ผู้อ่านทุกท่านได้ชมกันครับ
ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในประเทศไทยมีจำนวนมากเป็นอันดับ 8 ของโลก
จากการสำรวจของ Wisesight พบว่า กว่า 74% ของประชากรไทยใช้งานโซเชียลมีเดีย โดยในแพลตฟอร์มหลักๆ มีจำนวนผู้ใช้ ดังนี้
- Facebook 56 ล้านบัญชี
- Instagram 13 ล้านบัญชี
- Twitter 9.5 ล้านบัญชี
ซึ่งนับรวมกันแล้วประเทศไทยมีผู้ใช้โซเชียลมีเดียมากเป็นอันดับ 8 ของโลก เรียกได้ว่าโซเชียลมีเดียเป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์หลักๆ ของประชากรไทยเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้ การกระตุ้นหรือโน้มน้าวให้มีการจับจ่ายใช้สอย ไปจนถึงการปิดการขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์จึงเกิดได้ง่ายขึ้น
80% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเคยช้อปปิ้งออนไลน์
จำนวนข้อความบนโลกโซเชียลมีการเติบโตขึ้น 42% ในทุกๆ ปี (ตั้งแต่ปี 2559) จนปัจจุบันมีจำนวนมากถึง 7,500 ล้านข้อความ แสดงให้เห็นว่าการเติบโตของการใช้งานโซเชียลมีเดียยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและยังไม่มีสัญญาณที่จะลดลง
จากข้อมูลข้างต้น Wisesight ยังพบอีกว่า 80% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมดในประเทศไทยเคยซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งกว่า 50% ของผู้ที่ซื้อสินค้าออนไลน์เป็นคน Gen Y โดยแต่ละคนมีพฤติกรรมในการเลือกซื้อสินค้า ดังนี้
- 52% ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อหาข้อมูลของสินค้า
- 37% ได้แรงบันดาลใจในการซื้อสินค้าจากโซเชียลมีเดีย
- 49% เชื่อคำแนะนำสินค้าของ Influencers
ยุคสมัยของ Influencers
จากการสำรวจในช่วงเดือนสิงหาคม – ตุลาคม 2562 พบว่า จำนวนโพสต์ของ Influencer บนแพลตฟอร์มออนไลน์มีมากกว่า 545,000 โพสต์ และเกิด Engagement ขึ้นกว่า 1,340,000 ครั้ง โดยแบ่งตามแพลตฟอร์มได้คร่าวๆ ดังนี้
จำนวนโพสต์
- 72% Facebook
- 15% Instagram
- 10% Twitter
- 4% YouTube
Engagement
- 67% Facebook
- 22% Instagram
- 7% YouTube
- 3% Twitter
เมื่อนำกราฟทั้งสองมาเทียบกันจะพบว่า แพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพที่สุดยังคงเป็น Facebook ตามมาด้วย Instagram ในขณะที่ YouTube มี Engagement สูงกว่า Twitter ถึง 1 เท่าตัว ในขณะที่มีจำนวนโพสต์น้อยกว่า 1 เท่าตัวเช่นเดียวกัน
อาจเป็นเพราะจำนวนโพสต์ของ Twitter นั้นสามารถสร้างได้ง่าย และมีความกระชับกว่า ในขณะที่คอนเทนต์บน YouTube นั้นใช้เวลาในการสร้างมากกว่า แต่ก็มี Engagement ที่มากกว่านั่นเอง
พฤติกรรมการเป็นหนี้ของ Gen Y
จากการสำรวจ TMB พบว่ากว่า 50% ของ Gen Y (ประมาณ 7.2 ล้านคน) มีหนี้สิน โดยมีภาระหนี้ต่อคนเฉลี่ยประมาณ 423,000 บาท ซึ่ง 20.2% ของคน Gen Y ที่เป็นหนี้ (ประมาณ 1.4 ล้านคน) ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามเวลาที่กำหนด คิดเป็นประมาณ 7.1% ของสินเชื่อทั้งหมด โดย Gen Y กลุ่มดังกล่าวส่วนมากจะมีทัศนคติในการจับจ่ายสินค้า ดังนี้
- บริโภคนิยม (Consumerism)
- ซื้อแบบไม่คิด (Impulse Purchase)
- ประสบการณ์คือสินค้าความสุข (Experience Economy)
Gen Y กับ #ของมันต้องมี
TMB เผย #ของมันต้องมีก่อน40 ในความฝัน คือ
- บ้าน 48%
- รถยนต์ 22%
- เงินออม / สินทรัพย์ 13%
ในขณะที่ #ของมันต้องมี ของคน Gen Y ในความจริง คือ
- บ้าน 12%
- รถยนต์ 10%
- เงินออม / สินทรัพย์ 9%
- ของมันต้องมี 69%
รายจ่ายของ Gen Y กับ #ของมันต้องมี
จากผลสำรวจ Gen Y ใช้จ่ายกับ…
- โทรศัพท์ 22% (เฉลี่ยค่าใช้จ่ายประมาณ 23,571 บาท)
- เสื้อผ้า 11% (เฉลี่ยค่าใช้จ่ายประมาณ 13,719 บาท)
- เครื่องสำอาง 8% (เฉลี่ยค่าใช้จ่ายประมาณ 11,934 บาท)
- อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 5% (เฉลี่ยค่าใช้จ่ายประมาณ 16,486 บาท)
- กระเป๋า 4% (เฉลี่ยค่าใช้จ่ายประมาณ 15,466 บาท)
- นาฬิกา / เครื่องประดับ 2% (เฉลี่ยค่าใช้จ่ายประมาณ 14,342 บาท)
โดยรวมแล้วจะมีค่าใช้จ่าย #ของมันต้องมี ต่อปีเฉลี่ย 95,518 บาท
จากข้อมูลข้างต้นสรุปได้ว่า
- Gen Y หมดเงินกับ #ของมันต้องมีไปมากถึง 1/4 ของรายได้/ปี (เฉลี่ย 377,694 บาท/ปี)
- เกือบครึ่งของ Gen Y มองว่า #ของมันต้องมีคือการตามเทรนด์
- 70% ของ Gen Y มีเงินไม่พอใช้จ่าย และ 50% ของกลุ่มที่มีเงินไม่พอเลือกที่จะใช้การกู้ยืมหรือใช้บัตรเครดิตจ่ายแทนก่อน
นอกจากนั้น ข้อมูลของ TMB ยังระบุไว้อีกว่าจำนวนของ Gen Y ที่ใช้จ่ายกับ #ของมันต้องมี น้อยกว่าเงินเก็บมีถึง 53% หรือ 7.6 ล้านคน ซึ่งหมายความว่ากลุ่มที่เหลืออีกเกือบครึ่งหนึ่งของ Gen Y มีการใช้จ่ายมากกว่าออมเงิน
ซึ่งหากคน Gen Y ลองหันมาออมเงินก่อนใช้ โดยการแบ่งเงินออมไว้ก่อนในสัดส่วนที่เหมาะสม และเก็บเงินหรือนำเงินไปลงลงทุนให้ถูกที่ จะทำให้มีเงินสะสมเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 43,000 บาท/ปี
ข้อมูลจาก : Wisesight และ TMB