พนักงานยุคใหม่มีความต้องการเกี่ยวกับ work-life balance เพิ่มขึ้นทุกวัน เน้นเรื่องของความใส่ใจเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพใจไปพร้อมกันมากที่สุด อาจเพราะความกระตือรือร้นและมีส่วนร่วมกับคนในสังคมรอบตัวจะสร้างชีวิตที่สมบูรณ์ขึ้น ซึ่งทำให้งานที่ออกมาดีขึ้นเช่นกัน แต่สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าทั้งสองจะไม่มีวันสมดุล บางครั้ง คุณอาจต้องใช้เวลาในชีวิตส่วนตัวมากขึ้น และในบางครั้งคุณอาจต้องก้าวขึ้นจากการทำงาน สิ่งที่สำคัญกว่าคือการทำให้แน่ใจว่าทั้งสองมีความกลมกลืนกัน งานของคุณควรสนับสนุนชีวิตที่เหลือของคุณและชีวิตก็ควรสนับสนุนสอดคล้องไปกับงาน
วันนี้ thumbsup มีข้อมูลเกี่ยวกับการจัดสรรระบบงานให้พนักงานมีความสุข ลดปัญหาการลาออกและพยุงใจให้คนทำงานอยากอยู่กับเราไปนานๆ มาฝากกันครับ
ส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานแบบให้ทุกคนมีส่วนร่วม
กว่า 60% ของพนักงานเริ่มรู้สึกไม่มีอารมณ์ร่วมในที่ทำงานอีกแล้ว เพราะฉะนั้นบริษัทจึงควรหาโอกาสสร้างความสัมพันธ์ให้กับพนักงานไม่ว่าจะมีตำแหน่ง ประสบการณ์ หรือหน้าที่งานใด ให้พวกเขารู้สึกมีส่วนร่วมในองค์กร เหมือนครั้งที่เข้ามาทำงานวันแรก อาจจะเริ่มจากการทำความรู้จักกับพันธกิจขององค์กร ค่านิยม และวิสัยทัศน์ก่อน จากนั้นค่อยให้พวกเขาได้ศึกษาวัฒนธรรมและรูปแบบขององค์กรให้ดีขึ้น เพื่อสร้างบรรยากาศสภาพแวดล้อมที่พนักงานมีโอกาสที่จะเติบโตในตำแหน่งอื่นๆ
ในฐานะที่คุณเป็นผู้นำองค์กร ความเข้าใจของคุณจะต้องชัดเจนและวาดภาพการเติบโตให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ว่าเรากำลังจะไปที่ใดและจะต้องทำอย่างไรจึงจะไปถึงฝั่งฝันนั้นได้ การรักษาทีมของคุณเอาไว้ จะช่วยให้แผนในอนาคตเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ซึ่งคุณก็จะต้องช่วยให้พวกเขารู้จักตำแหน่งหน้าที่และเห็นโอกาสเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้หากพวกเขารู้ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่นั้น จะมีเป้าหมายที่ชัดเจนอย่างไร ซึ่งเป้านั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องของเงินรายได้อย่างเดียว แต่ต้องหมายถึงความมีคุณค่าในองค์กรนี้ด้วย
ทำงานหนักแค่ไหนก็ต้องให้ความยืดหยุ่นบ้าง
การให้ความยืดหยุ่นกับพนักงาน โดยปราศจากแรงกดดันจากการพลาดช่วงเวลาสำคัญๆ ถือว่าเป็นการให้พื้นที่แก่พนักงานในฐานะของความเป็นมนุษย์ และการปล่อยให้พวกเขาได้ปรับตารางเวลาของตนเองให้เหมาะสม จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ทั้งการทำงานในออฟฟิศและการออกไปทำงานภายนอก
อย่างไรก็ตาม การรักในอาชีพที่ทำอยู่นั้น คือสิ่งที่คุณทำนั้นมีพลังอยากทำงานนั้นๆ เพิ่มขึ้น แต่ขณะเดียวกันหากพวกเขารู้สึกเกลียดชังการทำงานที่สร้างแรงกดดัน ระบบงานนั้นก็สามารถทำลายล้างความตั้งใจทำงานของพวกเขาได้เช่นกัน เพราะชีวิตส่วนใหญ่ของพนักงานที่ต้องอยู่ประจำในที่ทำงาน ช่วงเวลานั้นอาจจะส่งผลที่เป็นผลประโยชน์หรือเป็นผลร้ายก็ได้ สิ่งสำคัญที่หัวหน้างานควรต้องทำ คือ สร้างสภาพแวดล้อมที่พนักงานของคุณสามารถเข้าถึงคุณได้โดยไม่ต้องมีข้อกังวลด้านอาชีพ รับฟังคำปรึกษาและช่วยเหลืออย่างทันท่วงที นั่นจะทำให้องค์กรเดินหน้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ใส่ใจสุขภาพจิตของพนักงานเป็นเรื่องสำคัญ
คนรุ่นใหม่รู้สึกว่าพวกเขาต้องเจอกับความกดดันในที่ทำงานมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบพฤติกรรมของพนักงานและรูปแบบการทำงาน บ่อยครั้งที่เราจะเห็นว่าพนักงานต้องเจอกับความกดดันหรือความเครียดจากที่ทำงานไม่มากก็น้อยในรูปแบบที่แตกต่างกัน
หากจำนวนของพนักงานมีมาก ลองหากิจกรรมหรือเพิ่มวันหยุดพักผ่อนให้พวกเขาได้ผ่อนคลายความเครียดบ้าง อาจจะเริ่มด้วยการทำความรู้จักและสนิทกับลูกน้องให้มากยิ่งขึ้น นั่นจะทำให้พนักงานรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าและทำให้พวกเขาอยากเข้าหาเพื่อขอคำปรึกษาอย่างแน่นอน
ส่งเสริมความเป็นทีม
นอกจากการสร้างสถานที่ทำงานให้คนในองค์กรอยากเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศบ่อยๆ แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ การทำให้พวกเขายอมรับและเคารพซึ่งกันและกัน รวมทั้งให้ทุกคนเห็นคุณค่าในตัวของตัวเองและของผู้อื่น ส่งเสริมวัฒนธรรมที่ทุกคนมีสิทธิ มีเสียงในความถูกต้องอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้พนักงานกล้าลองและกล้าเสนอในสิ่งใหม่ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรอย่างแน่นอน