ครบปีสำหรับงาน WWDC หรือ World Wide Developers Conference ของทาง Apple ที่จัดขึ้นในทุกๆ ปี โดยในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 26 มีข่าวที่หลุดมาบ้างบางส่วนประปราย แต่ก็มีสิ่งที่พอเป็นไฮไลท์ของงานอยู่บ้างอย่างบริการ Apple Music ที่ได้ทาง Beat มาร่วมมือกันทำ ซึ่งน่าจะทำให้วงการเพลงปั่นป่วนอีกครั้งหลังจากเคยทำ iTunes Store ให้พลิกโลกการฟังเพลงของผู้ใช้งานมาแล้ว
OS X รุ่นใหม่ El Capitan
- Craig Federighi SVP of Software engineering ขาฮาเจ้าเก่าขึ้นมาแนะนำ
- El Capitan คือชื่อหุบเขาที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติ Yosemite ซึ่งก็เป็นชื่อของเวอร์ชันปัจจุบันของ OS X
- New Gestures การใช้งานจะดูง่ายขึ้นกว่าเดิม ด้วยพื้นฐานการใช้งานที่เหมือนกันกับการใช้ iPhone, iPad ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนคือการลบเมลด้วยการปัดนี้ว
- มี Pinned Site ที่เหมือนกับการทำ Bookmark เว็บที่เราเข้าบ่อยๆ แต่จะเป็นการปักหมุดไว้ในตำแหยน่งซ้ายสุด (อันนี้เหมือนกับ Google Chrome)
- Spotlight การค้นหาสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ (Place) สภาพอากาศ รวมทั้งผลกีฬาได้
- การเขียนเมลจะไม่ต้องงงหน้าต่างอีกต่อไป เพราะใน Mail สามารถเปิดการเขียนเมลได้หลายๆ Tab
- Split View เปิดแอป 2 แอปให้ใช้งานได้พร้อมๆ กัน
- El Capitan ปรับปรุงประสิทธิภาพให้เจ๋งขึ้น โดยความเร็วในการเปิดแอปเร็วกว่าเดิม 1.4 เท่า, การสลับการใช้งานแอป 2 เท่า, การอ่านเมลฉบับแรกเร็วขึ้น 2 เท่า และการเปิดไฟล์เอกสาร PDF เร็วขึ้นกว่าเดิม 4 เท่า น่าจะเป็นการเปรียบเทียบกับ OS X Yosemite
- Metal ระบบจัดการเรื่องกราฟฟิกที่ใช้งานอยู่บน iOS ก็ย้ายมาอยู่บน OS X นี้ด้วย โดยจะส่งผลดีกับการใช้งานเกมและแอปที่เกี่ยวกับด้านกราฟฟิค (อันนี้คูลนะ) และมีหลายแอปเริ่มมาใช้เจ้า Metal แล้ว (มี Blizzard ด้วย จำ Diablo ได้ไหมครับ ^^)
- โดยรวมเน้นเรื่องประสิทธิภาพและการใช้งานลูกเล่นที่เข้าถึงผู้ใช้งานแบบเล็กๆ แต่ไม่ได้บอกนะครับว่าจะประหยัดพลังงานเท่าไหร่ (กินกว่าเดิมแหงๆ)
- เริ่มให้ดาวน์โหลดแล้วสำหรับกลุ่มนักพัฒนา และจะเปิดให้อัปเกรดสำหรับผู้ใช้งานแมคในช่วงฤดูใบไม้ร่วง (Fall) หรือประมาณกันยายนนี้ครับ
iOS 9
- Craig Federighi เป็นคนแนะนำ iOS 9 ต่อเนื่อง โดยเกริ่นเบื้องต้นว่าจะเป็นระบบปฏิบัติการที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก (บร๊ะ) โดยจะเป็นตัวที่ฉลาดกว่าเดิม, เข้ากับแอปที่คุณใช้งานมากที่สุดและใช้กับ iPad ได้อย่างเจ๋งมาก (โม้จริงเฮีย)
- Siri หลังจากที่นางฉลาดขึ้นเยอะ ก็มีตัวเลขว่าถูกเรียกใช้งานมากกว่า พันล้านคำสั่งต่ออาทิตย์ และ Siri จะเก่งกว่าเดิมอีกใน iOS 9 ด้วยความเร็วมากกว่าเดิม 40% และความถูกต้องที่มากกว่าเดิมอีก 40% เช่นกัน
- หัวข้อที่จะถาม Siri เริ่มหลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่ถามแบบคำถามที่เป็นการเจาะจง แต่เป็นภาษาที่เป็นธรรมชาติ ที่เราพูดอยู่ทุกๆ วันมากขึ้นกว่าเดิมอีก คราวนี้ไม่ว่าคุณจะถามอะไร นางก็จะให้คำตอบคุณได้
- การค้นหา สามารถคันหาได้แทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภายนอกอย่างผลกีฬา หรือข้อมูลภายในแอป
- Spotlight ที่เก่งกว่าเดิม มี Suggestion แนะนำคนที่เราติดต่อล่าสุด, แอปที่ใช้ล่าสุด หรือบอกสถานที่ที่คุณน่าจะสนใจในระแวกที่คุณอยู่ได้ด้วย
- Jennifer Bailey Vice President of Internet Services ได้ขึ้นมาพูดต่อจาก Craig โดยหัวข้อก็คือ Apple Pay
- Apple Pay จะได้พันธมิตรอีกเจ้าคือ Discover อีกเจ้า หลังจากได้กินรายใหญ่มาหมดแล้วอย่าง AMEX, VISA, MasterCard
- น่าสนใจมากว่า Square จะทำ Reader หรือตัวอ่านเพื่อมารองรับ Apple Pay แล้ว ไม่ดื้อแล้วเดินไปด้วยกันน่าจะเป็นวิธีที่ Square เลือกในครั้งนี้
- Apple Pay จะมีจุดรองรับการจ่ายเงินมากกว่า 1 ล้านแห่งในสหรัฐฯ ภายในเดือนหน้า ซึ่งตัวเลขสูงกว่าจากเมื่อเปิดตัวถึง 4 เท่า (ผมว่าน้อยนะ)
- สถิตินี้น่าสนใจ เพราะบอกว่า การใช้ Apple Pay จะเพิ่มยอดในการเอาของใส่ตะกร้าแล้วจ่ายเงินมากกว่าเดิมถึง 2 เท่า (หลายคนมักจะเป็น ใส่ของไว้แล้วทิ้งลืม คนขายก็อ้าปากรอ แต่ Apple Pay พยายามรวบรัดให้ชำระเงินเร็วที่สุดนั่นเอง)
- อันนี้ก็น่าสนใจ ในเดือนนี้ผู้ใช้งานจะสามารถซื้อของบน Pinterest แล้วจ่ายเงินผ่าน Apple Pay ได้ (ดีลนี้น่าสนใจมาก)
- และ Apple Pay จะออกจากสหรัฐฯ ในครั้งแรก ไปใช้งานได้ที่สหราชอาณาจักร ในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยสามารถใช้งานกับบัตรต่างๆ ที่ออกในสหราชอาณาจักรกว่า 70% รวมทั้งการขึ้นรถเมล์ในลอนดอนก็ใช้ Apple Pay ได้
- เรื่อง Loyalty สำหรับร้านต่างๆ ก็สามารถเปิดให้คนที่ใช้งานเอาแต้มมาแลกของได้ผ่าน Apple Pay
- และ Passbook ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็น Wallet แทน เพื่อให้ใช้กับ Apple Pay ได้สะดวกขึ้น
- Craig กลับขึ้นมาเพื่อแนะนำ Notes โฉมใหม่ ที่ไม่ใช่แค่ที่พิมพ์ข้อความอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถจำและทำงานได้ง่ายขึ้น ด้วยการออกแบบใหม่หมดพร้อมเครื่องมือมาให้ใช้งาน
- Notes จะกลายเป็น To-Do list สามารถใส่ได้ว่าเรามีอะไรต้องทำบ้าง
- สามารถวาดรูปลงไปได้ (ทำไมผมนึกถึงมือถือยี่ห้อหนึ่ง)
- ดึงเอาข้อมูลจาก Safari ลงไปใน Notes ได้โดยตรง
- Notes ใหม่จะได้ใช้ที่ OS X, iPhone, iPad ครับ
- Maps ที่ยังคงพัฒนาอยู่ แม้ว่าคนจะใช้ Google Maps ก็ตาม แต่ก็อาจจะด้วยเหตุผลที่ Apple น่าจะทำอะไรเกี่ยวกับรถยนต์อยู่ จึงจำเป็นต้องเก็บไว้
- Maps บน iOS 9 จะมีข้อมูลการเดินทางด้วยรถสาธารณะ โดยสามารถใช้ได้ในบางเมืองของสหรัฐฯ และ จีน
- News ตัวนี้น่าสนใจครับ เพราะเป็นแอปใหม่ที่ทำขึ้นมาจาก Apple แต่ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในท้องตลาด โดย Susan Prescott, Vice President of Product Marketing ขึ้นมาพูด
- News ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากเป็นที่รวบรวมข่าวเพื่อให้เราได้อ่านกันในแอปเดียว โดยเราสามารถเลือกเว็บที่ค้องการ หรือเลือกหัวข้อที่เราสนใจอ่านได้ด้วยรูปแบบการแสดงผลที่ดูสวยงามและน่าสนใจ เป็น intertactive
- Flipboard, Feedly ร้องไห้ทำไม
- ในช่วง keynote มีการบอกถึงการอ่านด้วยว่า จะไม่ฟรีทุกอย่าง จะเป็น subscription model ที่มีการต้องสมัครหากต้องการอ่านข่าวมากกว่าเดิมหรืออ่านข่าวพิเศษ ซึ่งตรงนี้ยังไม่มีการระบุเนื้อหาเรื่องเงินๆ ทองๆ แต่อย่างใดในตอนนี้
- Craig กลับขึ้นมาบนเวทีโดยยืนยันว่า สิ่งที่เราเลือกอ่านบน News จะไม่มีการเก็บข้อมูลส่งไปให้คนอื่นแต่อย่างใด
- สำนักข่าวมาเพียบ แต่จะใช้งานในช่วงแรกเฉพาะที่ สหรัฐฯ, ออสเตรเลีย และ สหราชอาณาจักร
- QuickType คือคุณสมบัติใหม่อีกอย่าง โดยมีเครื่องมือให้เลือกใช้บนหน้าจอระหว่างการพิมพ์ หรือหากใช้คีย์บอร์ดภายนอกต่อ ก็จะสามารถกดปุ่มลัดเพื่อเข้าแอปต่างๆ ได้รวดเร็ว
- การสลับแอปใช้งานก็จะมีหน้าจอที่เปลี่ยนไป มาในรูปแบบ Tab รวมทั้งมี Slide Over เปิดแอปที่อยู่ข้างๆ ด้านด้วยการเลื่อน ไม่ต้องสลับเปลี่ยนเป็นอีกแอปแบบเต็มๆ
- Split View สามารถเปิดแอป 2 แอปได้พร้อมๆ กัน (นี่มัน…)
- อื่นๆ ที่อัปเดทและน่าสนใจคือ หากใช้ iPhone 6 ใช้งานได้เพิ่มขึ้น 1 ชั่วโมง การกด Upgrade เป็น iOS 9 จะใช้พื้นที่น้อยลง เนื่องจากครั้งที่แล้วเจอด่าเยอะมาก อย่างผมเองที่ใช้ iPhone 5 ก่อนหน้า แทบจะลบแอปทั้งเครื่องเพื่ออัปเกรด ดีใจที่ Apple ดึงสติกลับมาได้
- iOS 9 จะเริ่มต้นให้อัปเกรดช่วงเดือนกันยายนเช่นเดียวกับ OS X ตัวใหม่
App Store และจิปาถะ
- Apple Store เปิดมาได้ 7 ปีแล้ว
- มีแอปถูกดาวน์โหลดไปแล้วมากกว่า แสนล้านครั้ง
- ค่าเฉลี่ยของผู้ใช้งานแอป จะมีแอปอยู่ 119 แอป
- มีแอปเกี่ยวกับการศึกษามากกว่า 195,000 แอปในตอนนี้
watchOS 2
- มีลูกเล่นมาเพิ่มเล็กๆ น้อยๆ พอหอมปากหอมคอ ซึ่งบางอันก็ควรอยู่ตั้งแต่เวอร์ชันแรกแแล้ว อย่างการเลือกรูปมาทำเป็น watch face
- watch face ใหม่ที่ทำออกมาแล้วนึกถึง Earth TV นั่นคือการแสดงภาพของสถานที่นั้นๆ พร้อมกับเวลาในท้องถิ่น
- เริ่มให้ความสำคัญกับการแสดงข้อมูลของ 3rd party app มากขึ้น
- แปลงร่างเป็นนาฬิกาปลุกเมื่อเสียบสายชาร์จ
- อื่นๆ ด้วยความสามารถที่เปลี่ยนไปของ iOS Apple Watch 2 ก็ได้อานิสงส์ไปด้วย
- มีแอปที่รองรับการทำงานกับ Apple Watch มากกว่าพันแอปแล้ว ในนั้นน่าจะมี StockRadar และ Wongnai
- HomeKit ก็ใช้ได้บน Apple Watch
- watchOS 2 เปิดให้อัปเกรดช่วงเดือนกันยายนครับ
Apple Music
- บริการที่น่าจับตาที่สุดของ Apple ในปีนี้ เพราะเคยแย้มๆ จะออกมาหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่มาเสียที
- เป็นการรวมกำลังกันระหว่าง Beats และ Apple ซึ่ง Beat ถูก Apple ซื้อไปเมื่อกลางปีที่แล้ว โดยครั้งนี้มาในนามแบบเรียบง่าย Apple Music
- Jimmy Iovine ขึ้นบนเวทีเพื่อแนะนำบริการนี้ ดูเฮียเก้ๆ กังๆ กับการขึ้น Keynote อยู่ไม่น้อย
- Jimmy บอกว่า Apple Music จะเป็น 3 สิ่งคือ
- Revolutionary music service ปฏิวัติการบริการด้านเสียงเพลง
- 24/7 Global Radio วิทยุบริการทั้งวันทั้งคืน
- A new way to connect with artist หนทางใหม่ในการเช้าถึงตัวศิลปิน
- การฟังเพลง สามารถเลือกฟังได้มากกว่า 10 ล้านเพลงใน iTunes Library โดยจะมีการแนะนำ Playlist ที่คุณน่าจะชอบจากผู้เชี่ยวชาญที่รู้และรักเสียงเพลงมาให้คุณ
- มี Playlist ให้เลือกตามความสนใจและตามอารมณ์
- Beat 1.Music เป็นส่วนที่ Apple แนะนำและอยู่ใน Radio โดยจะมีดีเจจาก LA, New York และ London คอยจัดเพลงให้ผู้ฟังร่วมร้อยประเทศให้ได้ฟังเพลงพร้อมๆ กัน
- @connect ช่วยให้เราสามารถติดตามศิลปินที่เราชื่นชอบได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นยังมี exclusive content เช่น เบื้องหลังการอัดเสียง, ชีวิตประจำวัน และอื่นๆ ที่สามารถจะเข้ามาติดตามได้ที่นี่ที่เดียว
- Eddy Cue ขึ้นเวทีมา Demo Apple Music ซึ่งดูท่าแล้วเฮียแกจะยังไม่พร้อมเดโมเท่าไหร่ เพราะต้องเปิดโพยบนเวทีเพื่อสาธิตแบบ step-by-step และดูเงียบกริบบางช่วงด้วย
- สิ้นเดือนมิถุยายนนี้ Apple Music จะเปิดให้ใช้งานในการอัปเดทบน iOS 8.4 บน iPhone, iPad และ iPod Touch ส่วนบน Mac OS X ก็สามารถอัปเดทได้บน Mac
- บน Windows และ Android รอใช้หลังกันยายนนี้ไป (น่าจะห่างจากการอัปเดท OS X, iOS 9 สักพักใหญ่ๆ
- ราคา! อยู่ที่ 9.99 เหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 350 บาทต่อเดือน ด้วยข้อเสนอยั่วใจ ลองใช้ฟรีก่อน 3 เดือน และที่เจ๋งกว่านั้นคือ สมาชิกในครอบครัวสามารถใช้งานได้ 6 คนด้วย families pack ราคา 14.99 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 525 บาท
- ถ้าใครไม่ได้เป็นสมาชิก ก็ยังสามารถใช้ @connect และฟัง Beat 1 ได้ฟรี
- Spotify, Tidal ใจเย็นๆ นะครับ
จบงานครับ
ความเห็นเกี่ยวกับงานวันนี้ครับ
- ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น นอกจากคุณสมบัติต่างๆ ที่ดูแล้วไปเหมือนกับคู่แข่งที่ทำออกมาก่อนแล้วแทบทั้งนั้น
- แต่ถ้าให้ดูความน่าสนใจ ก็น่าจะเป็นการดูแนวโน้มของผู้ใช้งานก่อนว่าเขาชอบแบบนั้นจริงไหม จากนั้นก็มาลงมือทำเองเสียเลย
- มีผู้บริหารหน้าใหม่ขึ้นมา keynote หลายคน ดูยังไม่เชี่ยว ต้องลองหลายๆ เวที แต่ผมว่า แม้สไตล์การ keynote จะไม่มันเท่าพวกเจนเวที แต่ผมว่ามันก็ดีที่ไม่เป็น pattern เดียวกัน (นับจากนี้ก็คงเป็นเหมือนๆ กันอย่างนั้นหล่ะ 555)
- OS X ใกล้เหมือน iOS เข้าไปทุกที ทุกที ผมยังมีความรู้สึกว่าจะมี MacBook จอสัมผัส
- Apple Pay ขยายตัว แต่ผมว่าช้าไปหน่อย ไม่หน่อยหล่ะ เยอะเลย แต่ก็น่าสนใจว่าพอ Square มาน่าจะขยายยิ่งกว่าดอกเห็ด (แต่เห็ดนั้นจะมาโผล่ในเมืองไทยบ้างไหม)
- เห็นการทำ partner กันอย่างรุนแรงในทุกช่องทางรอบนี้ อารมณ์ว่ามาเป็นพวกเดียวกับฉันเถอะ ถ้าไม่เป็นเอ็งเจ็บหนักแน่
- Apple Music ต้องรอดูการใช้งานจริง เพราะด้วยราคานั้นอาจจะดูแพงไปหน่อยสำหรับผม แต่ถ้ามีเพลงไทยมาอยู่ในนั้น ผมคนนึงแหละที่สมัคร (แม้ค่าสมัครมันจะแพงกว่าใช้ dropbox 1 ปัก็ตาม)
- แต่ถ้าจาก keynote ที่บอกว่ามีเพลงร่วม 10 ล้านเพลง ก็เลยไม่มั่นใจว่าจะได้ฟังเพลงทั้งหมดทั้งโลกจริงไหม ความเป็นไปได้คือน่าจะมีการกำหนด region เหมือนอารมณ์ที่เราโหลดแอปบางแอปไม่ได้
- Siri คือท่าไม้ตายของจริง
หวังว่าคงจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ แล้วพบกันหลังงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple สวัสดีครับ