Site icon Thumbsup

“ยิ้ม แพลตฟอร์ม” โมเดลพลิกโฉมธุรกิจบริการด้านอาหารของไทยของเซ็นทรัล รีเทล

ยิ้มแพลตฟอร์ม ธุรกิจกลุ่มฟู้ด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ได้ประกาศเปิดตัวเป็นพันธมิตรกับ Google Cloud เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และการจัดเลี้ยง (HoReCa) ตลอดจนเพื่อก้าวทันความต้องการด้านอาหารที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค โดยความร่วมมือนี้จะส่งเสริมกลยุทธ์ของยิ้มแพลตฟอร์ม ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจครบวงจร

สำหรับร้านอาหารบนแพลตฟอร์ม อีคอมเมิร์ซ ที่จะดำเนินธุรกิจโดยปราศจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2050 พร้อมบรรลุเป้าหมายที่จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้จากช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ ๆ ตามเจตนารมณ์ของการเป็น Green & Sustainable Retail องค์กรแรกในไทยของเซ็นทรัล รีเทล อย่างแท้จริง

“ยิ้ม แพลตฟอร์ม” มีเป้าหมายเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และผู้ใช้ด้วยระบบอัจฉริยะ ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ผ่านการใช้ประโยชน์จากบริการ และ โครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการปรับขนาด ปลอดภัย ยั่งยืน และเปิดกว้างของ Google Cloud ในการดำเนินการและปรับปรุงแพลตฟอร์มดิจิทัลและบริการต่าง ๆ โดยมีบริการ 2 รูปแบบ ได้แก่

เชฟยิ้มมีจุดแข็งในการให้บริการ โดยใช้ความเชี่ยวชาญในการเป็นผู้นำสินค้าด้านอาหารของท็อปส์ ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจฟู้ดรีเทลของไทย เพื่อจัดหาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากเครือข่ายซัพพลายเออร์ รวมไปถึงผู้ผลิตและผู้ให้บริการอาหารแปรรูปในประเทศกว่า 1,000 ราย พร้อมกับใช้เครือข่ายโลจิสติกส์ของท็อปส์ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ เพื่อดำเนินการจัดส่งสินค้าตามคำสั่งซื้อให้แก่ลูกค้าทุกคนด้วยมาตรฐานการให้บริการที่ดีที่สุด

คุณจิระศักดิ์ จิราธิวัฒน์ ผู้บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง ยิ้ม แพลตฟอร์ม กล่าวว่า “การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้ตอกย้ำปัญหาของซัพพลายเชนขนาดเล็ก ทำให้ธุรกิจ HoReCa ประสบปัญหาในการจัดหาวัตถุดิบที่เหมาะสม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ในขณะที่จะต้องพยายามกระตุ้นผลลัพธ์ท่ามกลางข้อจำกัดต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกิจ

นอกจากนี้เรายังได้เห็นการเติบโตของ “เศรษฐกิจการใช้จ่ายและบริโภคขณะอยู่บ้าน (at-home economy)” เนื่องจากคนไทยหันมาทำอาหารกันมากขึ้น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเชฟยิ้มจึงได้ปรับปรุงซัพพลายเชนด้วยวิธีการที่เน้นดิจิทัลเป็นหลัก เพื่อช่วยให้ผู้ให้บริการด้านอาหารสามารถหาวัตถุดิบได้อย่างง่าย และสะดวกมากขึ้นโดยคำนึงถึงผลกำไรที่ควรได้รับ

เราคาดว่าหลังจากการเปิดตัว “โชยิ้ม และ เชฟยิ้ม แอท โฮม” ความต้องการด้านเทคโนโลยีของเราจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้นเราจึงเปลี่ยนมาใช้ Google Cloud ที่มีความสามารถในการปรับขนาดที่เหนือชั้น ความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่มีใครเทียบได้ และมีเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาแอป

โดยมุ่งเน้นไปที่ความยั่งยืนและความรวดเร็วในการดำเนินการ หลังจากให้ Google Cloud เป็นผู้ให้บริการระบบคลาวด์หลัก เราก็ได้พบเคล็ดลับที่จะช่วยเร่งการเติบโตและการพัฒนาในระยะต่อไปของ โชยิ้ม และ เชฟยิ้ม เป็นการสะท้อนภาพเบอร์ 1 ธุรกิจฟู้ดรีเทลของไทยที่ไม่เคยหยุดพัฒนาเพื่อส่งมอบประสบการณ์ในการช้อปปิ้งให้กับลูกค้าอย่างดีที่สุด”

การทำงานร่วมกัน จะช่วยจัดการกับปัจจัยเชิงกลยุทธ์ 4 ประการ ดังต่อไปนี้

ความเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานเป็นสิ่งสำคัญในการชนะใจผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับบริการดิจิทัล โดย ยิ้ม แพลตฟอร์ม ใช้ Flutter ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือสำหรับใช้พัฒนาแอปพลิเคชันของ Google เพื่อสร้างอินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่น่าดึงดูด ปรับเปลี่ยนตามอุปกรณ์ และใช้งานง่ายสำหรับทั้งเว็บและแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ และ ยิ้ม แพลตฟอร์ม ยังใช้การตรวจสอบสิทธิ์ Firebase เพื่อให้ขั้นตอนการลงชื่อเข้าใช้และการเริ่มต้นใช้งานของผู้ใช้ไม่ซับซ้อน ราบรื่น และที่สำคัญที่สุดคือปลอดภัย

เพื่อยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบดิจิทัล ยิ้ม แพลตฟอร์ม จึงใช้ Cloud Run ซึ่งเป็นการประมวลผลแบบ serverless และความสามารถในการทำให้แอปพลิเคชันใช้งานได้โดยอัตโนมัติของ Google Cloud เพื่อเผยแพร่การอัปเดตซอฟต์แวร์โดยไม่ต้องมีช่วงพัก การอัปเดตนี้รวมไปถึงการปรับปรุงข้อมูลผลิตภัณฑ์และบัญชีผู้ใช้ให้เป็นปัจจุบัน ตลอดจนเพิ่มฟังก์ชันการค้นหาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสั่งซื้อสินค้าเดิมหรือค้นหาสินค้าทดแทนได้แบบไร้รอยต่อ

ไม่ว่าจะเป็น เนื้อสัตว์ ผักผลไม้ อาหารทะเล ไปจนถึงเครื่องปรุงรส และอื่น ๆ อีกมากมาย เนื่องจากบริการ Google Cloud เหล่านี้ได้รับการจัดการครบวงจรในนามของ ยิ้ม แพลตฟอร์ม ทีมเทคนิคจึงสามารถหลีกเลี่ยงการกำหนดค่าแบ็กเอนด์ที่ใช้เวลานานด้วยตนเอง และทุ่มเทให้กับการสร้างฟีเจอร์เพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานสูงสุด

ยิ้ม แพลตฟอร์ม จะนำ BigQuery มาปรับใช้เพื่อผสานรวมชุดข้อมูลภายในและของผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงใช้งาน Looker Studio เพื่อเปลี่ยนข้อมูลนั้นให้เป็นข้อมูลเชิงลึก ที่สามารถใช้ประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจได้

โดยในอนาคตที่ปรึกษาการให้บริการของ ยิ้มแพลตฟอร์ม อาจสามารถระบุถึงแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่น ความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อผลิตผลออร์แกนิกหรือเนื้อสัตว์จากพืชของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ และแนะนำให้เหล่าธุรกิจ HoReCa ใช้วัตถุดิบเหล่านี้ในเมนูอาหาร เป็นต้น

นอกจากนี้ ยิ้มแพลตฟอร์ม จะสำรวจการใช้งาน Google Cloud เพื่อปรับใช้อัลกอริทึมของแมชชีนเลิร์นนิงที่ให้การแนะนำแบบปรับเปลี่ยนตามเฉพาะบุคคล รวมถึงคาดการณ์ความต้องการวัตถุดิบ และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ให้ดียิ่งขึ้น

การย้ายภาระงานด้านไอทีไปยัง Google Cloud ซึ่งเป็นระบบคลาวด์ที่สะอาดที่สุดในอุตสาหกรรมจะทำให้ ยิ้ม แพลตฟอร์ม เป็นส่วนหนึ่งของ Google Cloud ที่มีคาร์บอนสมดุลและได้ลดการปล่อยคาร์บอนจากการดำเนินงาน ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้บรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30% ภายในปี 2030 ของเซ็นทรัล รีเทล

ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เซ็นทรัล รีเทล ในการเป็น Green & Sustainable Retail ได้เปลี่ยนมาใช้การขนส่งที่ปล่อยคาร์บอนต่ำโดยใช้รถบรรทุกไฟฟ้า การใช้เครื่องทำความเย็นที่ประหยัดพลังงาน และปฏิเสธที่จะจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่า พร้อมทั้งนำแนวคิดริเริ่มอื่น ๆ มาปรับใช้ร่วมด้วย

เช่น การใช้งานชุดโปรแกรม Carbon Sense ของ Google Cloud ซึ่งช่วยให้บริษัทต่าง ๆ วัดผล ติดตาม และเปิดเผยการปล่อยคาร์บอนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ระบบคลาวด์สำหรับการรายงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อลดผลกระทบนี้

รายงานการวิจัยล่าสุด ในหัวข้อ “การใช้งานระบบดิจิทัลตั้งแต่การผลิตจนถึงโต๊ะอาหาร” (Farm to Table, Digitally Enabled) ของ Google Cloud เปิดเผยว่าผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนด้านเทคโนโลยีใน 4 ด้าน ได้แก่

หลังจากนำรูปแบบธุรกิจที่เน้นดิจิทัลเป็นหลักมาปรับใช้เพื่อเป็นผู้นำในทุก ๆ ด้าน ยิ้ม แพลตฟอร์ม มุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม

คุณเอพริล ศรีวิกรม์ Country Manager ของ Google Cloud ประเทศไทย กล่าวว่า “Google Cloud ภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับ ยิ้ม แพลตฟอร์ม เพื่อพัฒนาโมเดลที่ไม่เหมือนใครและขยายประโยชน์ของเทคโนโลยีคลาวด์ไปยังเหล่าธุรกิจ HoReCa ธุรกิจร้านโชห่วย และผู้บริโภค ลงแล้วอย่างเป็นทางการ ซึ่งเราตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับองค์กรที่มีแนวคิดคล้ายกันอีกมากมาย เพื่อสร้างเศรษฐกิจด้านอาหารที่มีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้นต่อไป”