Zynga บริษัทผู้ผลิต Social Game ชื่อดังจับมือกับยักษ์ใหญ่อินเทอร์เน็ตจากจีน Tencent โดยร่วมกันเปิดบริการ Social Game ที่ชื่อว่า “Zynga City” ซึ่งจะเป็นรุ่นภาษาจีนของเกมดังอย่าง “CityVille” นั่นเอง เกมกำลังจะเปิดตัวในไม่กี่วันข้างหน้านี้ และในเกมยังจะมีส่วนประกอบต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นท้องถิ่นในประเทศจีนที่ผู้เล่นในประเทศจะสนุกกับมันได้มากขึ้นด้วย
Zynga City รุ่น beta จะมาพร้อมกับการประดับประดาตกแต่งส่วนต่างๆ ของเกมด้วยกราฟฟิกที่ดูเป็นสถาปัตยกรรมของจีน รวมถึงเกมที่อยู่ในเกมอีกที (in-game event ที่มีพวกขายไอเท่ม-ผู้แปล) และการแข่งขันย่อยๆ ที่จะสอดคล้องกับวันหยุดนักขัตฤกษ์ต่างๆ ของจีน โดย Zynga จะสร้างเกมนี้บนแพลตฟอร์มของทาง Tencent ซึ่งจะทำให้นักเล่นเกมสามารถเล่น Zynga City ได้ในภาษาจีน
แพลตฟอร์มที่ว่านี้คือแพลตฟอร์ม Pengyou ซึ่งเป็น Social network และ Game platform ของบริษัท และต่อไปจะขยายไปสู่แพลตฟอร์มอื่นๆ ของ Tencentอย่าง QZone ที่หลายคนคุ้นเคยกับ QQ ที่เป็น IM ชื่อดังของจีน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Zynga ทำเกมจีน แต่ในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว Zynga ก็เคยเปิดตัว Zynga Texas Poker ภาษาจีนมาแล้ว ทีมงานเลยมีประสบการณ์มากขึ้น เชื่อว่าการเปิดตัวเกมใหญ่อย่าง CityVille ก็น่าจะสร้างความแตกต่างในตลาดได้มากพอสมควร
แล้วดีลนี้มันมีอะไร ทำไม thumbsup ต้องเอามาแปลมาเล่า? เรื่องของเรื่องคือ ถ้าทุกคนจำได้ Zynga โด่งดังมาจากการเป็นผู้ผลิตเกมที่ดังที่สุดใน Facebook แพลตฟอร์มหลักของ Zynga ก็คือ Facebook แต่ในเมืองจีนเป็นที่รู้กันว่า Facebook ไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรได้มากนัก การที่ Zynga จะเติบโตได้ก็ต้องอาศัยแพลตฟอร์มของจีน (จะได้ไม่มีํปัญหากับทางการจีน) Zynga มีประสบการณ์ในการทำเกมมานาน ส่วนทาง Tencent มีแพลตฟอร์มที่เข้าถึงนักเล่น Social Game ของจีนได้ในวงกว้างหลายร้อยล้านคนโดยไม่ต้องห่วงเรื่องการ “เซ็นเซ่อ” อันนี้ก็ถือว่าเป็นข่าวดีของนักพัฒนาเกมในจีน
ในความเห็นของผู้แปล ส่วนที่น่าจับตามองต่อไปก็คือ แล้วเมืองไทยล่ะ? เมืองไทยมีเว็บท่าชื่อดังอย่าง Sanook.com ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทในเครือของทาง Tencent? และมีข่าวเล็ดรอดออกมาเสมอว่าทางเมืองจีนได้ส่งนักพัฒนา Social Game มาที่เมืองไทย และกำลังพัฒนาเกมอย่างที่เราเคยนำเสนอไป ซึ่งเชื่อว่าเป็นภาคภาษาไทยของเกมต่างๆ จากเมืองจีน แต่เมืองไทยคนไทยเล่นบน Facebook ได้อยู่แล้ว จำเป็นจะต้องพัฒนาอะไรต่อหรือไม่ อันนี้ต้องติดตามกันต่อไป
ที่มา: TechCrunch