ที่ผ่านมา?thumbsup?ได้นำเสนอบทความและวิธีการในการดูแลหน้า Facebook Page หรือ Fan Page สำหรับผู้ดูแลไปหลายบทความ ไม่ว่าจะเป็น?6 วิธีในการตั้งเวลาการเขียนข้อความ?หรือนำเสนอส่วนที่เพิ่มขึ้นมาหลังจากการเปลี่ยนแปลงหน้าเป็นรูปแบบ Timeline?ในบทความนี้จะเขียนถึงการสร้างความส่วนร่วมให้กับลูกค้าหรือผู้ที่มากด Like กับหน้า Page ของเราให้มีมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันแทบทุกแบรนด์หันมาเอาใจใส่เรื่องการดูแล Facebook Page กันมากขึ้น เนื่องจากเป็นที่ที่สามารถกระจายข่าวสารได้อย่างรวดเร็วและตรงกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างลูกค้า ดังนั้นแล้วการดูแลในด้านข้อมูลและอื่นๆ เพื่อให้ลูกค้าหรือคนที่เข้ามาติดตามหรือกด Like ได้ติดตาม จึงเป็นสิ่งที่สำคัญและค่อนข้างละเอียดอ่อนอย่างมาก
เลยเป็นที่มาของบทความที่จะบอก 12 วิธีที่จะสร้างหรือก่อให้มีการมีส่วนร่วมบนหน้า Facebook Page สำหรับผู้ดูแลเพื่อที่จะให้ผู้ดูแลหน้าเพจสามารถทำให้แบรนด์ได้รับประโยชน์ในการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้มากขึ้นและลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด
1. สร้างข้อความบน Timeline ให้ดึงดูดใจ
ข้อความที่เรื่อยๆ เฉยๆ บน Facebook Timeline ถ้าได้อ่าน ก็คงจะทำได้แค่ผ่านๆ ตา และตกไปในที่สุด ดังนั้นผู้ดูแลควรจะทำให้หน้า Facebook Page ของคุณมีข้อความที่น่าสนใจและตื่นตาตื่นใจให้กับผู้อ่าน เช่น ข้อความที่เกี่ยวกับกิจกรรมที่จะเกิดขึ้น หรือที่แบรนด์เข้าไปมีส่วนร่วม หรืองานที่เราไปเป็นเจ้าของงาน หรือจะเป็นในรูปแบบคลิปวิดิโอ และที่สำคัญคือ จะต้องมีข้อมูลของผลิตภัณฑ์และบริการของแบรนด์เรา โดยให้แบบเจาะลึก ที่สามารถหาอ่านได้จากที่นี่ที่เดียว
2. ใหม่ สด เสมอ
3 คำนี้ไม่ใช่จะมาขายนมข้นหวานยี่ห้อหนึ่งแต่อย่างใด แต่ต้องการจะสื่อว่า 3 คำนี้คือสิ่งที่ผู้ดูแลหน้า Facebook Page ควรทำ นั่นคือ สร้างข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ ที่มีความสำคัญและสื่อถึงแบรนด์ขึ้นมาทุกๆ วัน เพื่อโพสต์ใน Page ใหม่อยู่เสมอ ข้อมูลที่เราจะโพสต์นั้นควรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ควรจะเป็นเพียงแค่ข้อความเพียงอย่างเดียว แต่ควรเปลี่ยนเป็นรูปภาพ, URL ของเว็บไซต์, วิดีโอ และอื่นๆ เพื่อที่จะสื่อสารกับคนที่มากด Like และสร้างชุมชนเพื่อให้คนมาติดตามอยู่เรื่อยๆ นั่นเอง
3. สร้างมูลค่าของแบรนด์ให้เพิ่มขึ้นด้วยรูป Cover image
วิธีหนึ่งที่ช่วยได้แน่นอนคือการใช้รูปภาพที่สื่อถึงใน Cover image เพื่อสื่อความเป็นแบรนด์ของเรา แต่ต้องทำให้อยู่ในข้อกำหนดของทาง Facebook ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการห้ามทำรูปให้กดปุ่ม Like หรือแจ้งการลดราคาเป็นต้น (ดูรายละเอียดเต็มๆ ใน?What are the guidelines for my Page’s cover photo?)?ซึ่งรูปที่คุณจะใช้เป็น Cover Page ควรที่จะมีการ update ให้สื่อถึงแบรนด์และธุรกิจของคุณ รวมทั้งการบอกถึงผลิตภัณฑ์, โปรโมชันและงานอีเวนต์ต่างๆ ที่กำลังจะมีขึ้นอยู่เสมอ เพื่อให้คนที่ติดตามเราได้รับรู้เหตุการณ์ที่กำลังจะมาได้อย่างคร่าวๆ
4. ใช้รูปสวยๆ เพื่อดึงคนเข้ามาในหน้า Page
กลยุทธนี้จะใช้เหมือนกับโซเชียลมีเดียที่มีมาไม่นานนี้อย่าง?Pinterest นั่นคือการใช้รูปภาพหรือรูปถ่ายที่สวยๆ ที่เกี่ยวกับแบรนด์ในการสื่อสารกับผู้อ่าน รูปที่สร้างความเพลิดเพลินกับสายตานั้นจะทำให้เพื่อดึงดูดให้ผู้ชมเข้ามาชมรูปและข้อมูลบนหน้า Page ของเรานั่นเอง
5. ให้เวลาเอาใจใส่กับข้อความกันสักนิด
การได้รับความคิดเห็นหรือ comment, การกด Like หรือการแชร์ไปยังหน้าอื่นๆ นั่นคือวัตถุประสงค์ของการสร้างหน้า Page ขึ้นมา ดังนั้นผู้ดูแลควรจะให้เวลาและการเอาใจใส่ต่อข้อมูลก่อนที่จะเขียนข้อความหรือสิ่งต่างๆ ในการโพสต์แต่ละครั้ง สำหรับการโพสต์ข้อความเร็วๆ เพื่อที่จะนำเสนอข้อมูลข่าวสารให้เร็วนั้นไม่ใช่กลยุทธสำหรับ Facebook แต่อย่างใด
6. หมั่นเข้าไปสร้างการมีส่วนร่วมบนหน้า Page อย่างสม่ำเสมอ
เข้าไปหน้า Page ที่คุณดูแลอยู่และโต้ตอบกับคนที่ติดตามหน้า Page ของคุณอยู่อย่างเสมอ เพราะการสร้างความสัมพันธ์ใน Page ทุกวันจะเป็นหนทางที่คุณจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นและความเชื่อถือได้อย่างเร็วที่สุด
7. เป็นผู้เริ่มสร้างบทสนทนาก่อน
การเริ่มต้นการถามด้วยประโยคคำถามปลายเปิดที่สามารถตอบคำถามได้หลายทางจะสามารถทำให้เกิดบทสนทนาที่ยาวและมีชีวิตชีวาได้อย่างง่ายดาย วิธีง่ายๆ ในการตั้งคำถามเพื่อต้องการการตอบสนองกลับให้ลงท้ายด้วยคำว่า “แล้วคุณล่ะคิดอย่างไร?” หรือ “คุณเห็นด้วยหรือไม่?” ด้วย 2 ประโยคนี้การโต้ตอบมักจะมีกลับมาอยู่อย่างสม่ำเสมอ ถ้าเอาแบบไทยๆ ก็อาจใช้ประโยคที่เราคุ้นเคยว่า เที่ยงนี้ไปทานข้าวที่ไหนดี? หรือวันนี้ไปชอปปิ้งที่ไหน? เพื่อสร้างให้คนอยากเข้ามาตอบนั่นเอง
8. สร้างจำนวนผู้ติดตามที่มากขึ้นด้วยวิธีแพร่กระจาย (Going Viral)
การสร้างเนื้อหาที่ดี ทำให้มีโอกาสในการสร้างการโพสต์ข้อความซ้ำ (repost) รวมทั้งการแสดงความเห็น ข้อมูลเหล่านี้จะถูกแสดงอยู่ในกล่อง Ticker (กล่องด้านซ้ายมือบนหน้า Facebook) ให้กับเพื่อนที่มีเราอยู่ในรายชื่อ และก็สามารถถูกเห็นได้จากเพื่อนของเพื่อนคนนั้นๆ ได้อีก ด้วยวิธีนี้จะทำให้ข้อความหรือเนื้อหาของคุณสามารถถูกเข้าถึงได้อย่างไม่จำกัด และนี่คือสิ่งที่เรียกว่าการแพร่กระจาย ด้วยการใช้ความเป็นไปได้ที่ทวีคูณตามการเผยแพร่ของเนื้อหานั่นเอง
9. ทำให้คำถามหรือข้อความมีการตอบสนองแบบง่ายๆ
สั้นๆ และได้ใจความ (short and sweet) คือสิ่งที่จะทำให้ผู้ที่เข้ามาอ่านสามารถที่จะตอบสนองกับคำถามได้ง่าย ด้วยการใช้คำว่า “ใช่ หรือ ไม่” และ “อันนี้ หรือ อันนั้น” ในการตั้งตำถาม เพื่อที่จะให้คนที่ติดตามคุณไม่ต้องใช้เวลานานในการคิดและต้องรอการตอบสนอง – สำหรับในข้อนี้จะตรงข้ามกับข้อ 7 ในการสร้างบทสนทนา ดังนั้นต้องดูความเหมาะสมของคำถามที่เราจะตั้งด้วย
10. ใส่อารมณ์ขันให้บนหน้า Page บ้าง
คนเราจะให้อ่านอะไรที่เคร่งเครียดตลอดเวลาก็คงจะไม่ไหวแน่ๆ ดังนั้นการแทรกอารมณ์ผ่านหน้า Facebook Page ไม่ว่าจะเป็นข้อความหรือรูปภาพทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงไป แต่ก็ไม่ควรที่จะหลุดกรอบเนื้อหาที่เราจะต้องนำเสนอที่เกี่ยวกับแบรนด์ไปบ่อยครั้งนัก และต้องพิจารณารวมทั้งระมัดระวังในการใช้อารมณ์ขันให้ถูกที่ถูกเวลาและให้เหมาะสมกับผู้ที่ได้อ่านด้วย
11. ใช้ตัวแทนผู้ใช้สินค้าและบริการช่วยเล่าเรื่องราว (Testimonial Users)
การเล่าถึงการใช้สินค้าหรือบริการของแบรนด์โดยผู้ใช้จริง เป็นการนำเสนอเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในธุรกิจของคุณ ลักษณะก็จะเหมือนกับการรีวิวที่เราอ่านๆ กันทั่วไปบนหน้าเว็บไซต์ต่างๆ อย่างเช่น Pantip.com หรือบล็อกเกอร์ที่รีวิว เพราะต่อให้บริษัทมาบอกสรรพคุณเองต่างๆ นานา ก็ไม่สู้คำพูดจากผู้ใช้งานจริงมาบอกเรื่องราว ทำให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากขึ้นนั่นเอง
12. ท้ายที่สุด… จงตอบสนองและสนองตอบ
เราต้องตอบสนองกับคำถามและข้อเสนอแนะจากผู้ที่มาให้ความเห็นอย่างรวดเร็วในขณะที่คุณเข้ามาดูในหน้า Facebook Page พยายามเปิดการสนทนาและทำให้มันน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น แสดงความขอบคุณกับคนที่ช่วยเหลือคุณ สิ่งเหล่านี่คือสิ่งที่จะสร้างโอกาสในการมีส่วนร่วมกับกลุ่มคนใหม่ๆ ให้เข้ามาอยู่ในหน้า Page รวมทั้งยังคงรักษาไว้ซึ่งลูกค้าเดิมๆ ให้ยังคงอยู่กับเราต่อไป
ทั้งหมดนี้คือ 12 ข้อที่น่าจะเอาไปปฏิบัติได้ง่ายๆ แต่ประเด็นหลักของการดูแลนั่นก็คือ สิ่งที่เราจะนำเสนอให้กับผู้ติดตามควรต้องสื่ออย่างถูกต้อง, ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านมากที่สุด และที่สำคัญคือความสม่ำเสมอ เหมือนการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าเจ้าของ Page เป็นลูกค้า ก็อยากได้รับการตอบสนองจากเจ้าของที่เร็วและถูกต้องที่สุดนั่นเอง
ที่มา:?12most.com