เป็นประจำทุกปีที่ Facebook จัดงาน Facebook Developer Conference หรือ F8 โดยในปี 2562 (ค.ศ.2019) โดย Mark Zuckerberg และทีมผู้บริหารจะมาแถลงเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ ใน Family of Apps อย่าง Instagram, WhatsApp, Messenger และอื่นๆ รวมถึง Facebook เอง เราขอสรุป 8 สิ่งที่นักการตลาดควรรู้มีดังนี้
1. ย้ำเรื่อง Privacy เพราะจริงจังมากขึ้น และกลายเป็นที่จำเป็นต้องทำ
แม้ว่าเรื่องความเป็นส่วนตัวหรือ Privacy จะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของ Facebook แต่ท่าทีในปีนี้เปลี่ยนไปแบบชัดเจน มีการพูดถึง ‘Privacy’ บ่อยมากขึ้น ซึ่งตอนนี้กลายเป็นภารกิจหลักของ Facebook ในปี 2562 นี้ไปแล้วเรียบร้อย พร้อมขึ้นข้อความในสไลด์ระบุชัดเจนว่า “The future is privacy.”
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ Facebook ถูกคณะกรรมาธิการการค้าแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (Federal Trade Commission: FTC) ปรับเป็นเงินร่วม 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหล กลายเป็นเรื่องที่ Facebook ต้องให้ความสำคัยแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้
รวมถึงพยายามเล่นมุกเกี่ยวกับเรื่อง Privacy แต่ก็ไร้เสียงหัวเราะจากผู้ชมในห้องประชุมอยู่ดี
The moment Mark Zuckerberg tries to make a joke about privacy and nobody laughs: pic.twitter.com/izt7kIhjLz
— alfred 🆖 (@alfredwkng) April 30, 2019
และแน่นอนว่า การเปิดตัวครั้งนี้ ก็มาพร้อมกับทีมผู้บริหารชุดใหม่ขึ้นมาเปิดตัวแทนที่หลายๆ คนก่อนหน้าที่ออกไปเช่น Chris Cox อดีต Chief Product Officer (CPO) ของ Facebook และ Chris Daniels อดีต Vice President (VP) ของ WhatsApp เป็นต้น
2. ยกเครื่องและรีดีไซน์ Facebook ใหม่หมด
Facebook ยกเครื่องทั้งเว็บและแอปใหม่หมดยกแผง โละเอาแถบสีฟ้าบนหน้าแรกออก รวมถึงเปลี่ยนโลโก้เป็นสีฟ้าที่สดใสมากขึ้น ไม่ใช่สีน้ำเงินออกแนวหม่นๆ อีกต่อไป รวมถึงเลือกสีตัวเว็บเป็นสีขาวทั้งหมด ซึ่งก็สามารถเปลี่ยนเป็นโทนสีดำหรือ Dark mode ได้อีกด้วย
โดย Mark ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนครั้งใหญ่ในรอบ 5 ปี และตั้งโค้ดเนมของการเปลี่ยนครั้งนี้มีชื่อว่า FB5 อีกด้วย
แน่นอนว่า News Feed ในหน้าแรกยังมีอยู่เหมือนเดิม มี Stories, Ads และ Post จากกรุ๊ป-โปรไฟล์ เหมือนเดิม แต่เราก็คงเห็นแล้วว่า Facebook ก็มีการเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลและฟีเจอร์แบบไม่บอกกล่าวเราอยู่บ่อยครั้ง
ขอให้ทุกคนตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ไว้ให้ดี เพราะรูปแบบคอนเทนต์หรือโฆษณามีสิทธิ์ถูกเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ และจงเตรียมใจ รับมือ ปรับตัว ใช้ช่องทางสื่อสารอื่นๆ ประกอบการทำธุรกิจกันด้วยนะครับ อย่าลืม
3. Facebook ให้ความสำคัญ Group มากกว่าเดิมอีก
การปรับโฉมใหม่ของ Facebook ทั้งบนเว็บและแอปนี้ก็จะเน้นให้ความสำคัญกับ Group ต่างๆ มากขึ้นอย่างชัดเจน (หากดูภาพตัวอย่างในข้อที่ 2) เช่น หากเราเลือกประเภทกรุ๊ปเป็นกรุ๊ปประกาศงาน ฟอร์มกรอกข้อมูลก็จะใกล้เคียงกับเว็บหางานมากขึ้น
หรือในส่วนของการกดแชร์โพสต์ต่างๆ Facebook พยายามให้ความสำคัญกับ Group มากขึ้น โดยเมื่อกดที่ “Share to a Group” จะมีการแสดงชื่อกรุ๊ป, รูปประจำกรุ๊ป และลักษณะของกรุ๊ป (Public, Closed, Private) ให้เห็นชัดมากยิ่งขึ้น เป็นต้น
โดยในช่วงเดือนตุลาคม 2559 Facebook ก็กำลังทดสอบการแสดง Ads บน Group แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีการเปิดตัว แต่น่าจับตาว่าช่องทางที่ Facebook ดันสุดตัวอย่าง Group จะสามารถลง Ads ได้เมื่อไหร่
4. ซื้อของผ่าน Marketplace และ Live บน Facebook ได้สะดวกขึ้น
อีกหนึ่งสิ่งที่คุณจะเห็นจาก Facebook นั่นคือการอำนวยความสะดวกให้ผู้ซื้อและขายสินค้าสามารถปิดการขายได้ง่ายขึ้น
โดยในส่วนของ Marketplace ที่เป็นพื้นที่รวมประกาศขายของต่างๆ จะเริ่มการสนับสนุนการขายสินค้าแบบสามารถชำระเงินผ่านทางออนไลน์ได้ทันที จากเดิมที่สนับสนุนแค่การขายสินค้าแบบติดต่อผ่าน Messenger ของผู้ลงประกาศ
และผู้ที่ขายสินค้าบน Facebook Live และระบุว่าเป็นการขายสินค้า จะมีปุ่ม Messenger ขึ้นมาระหว่าง Live ทำให้ผู้ซื้อสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับผู้ขายแบบส่วนตัวได้ ช่วยให้ปิดการขายได้เร็วขึ้น
5. Messenger เปิดตัวโปรแกรมเวอร์ชัน Desktop และเปิดตัว ‘Lead gen ads’ แบบใหม่
Messenger ปรับจุดยืนใหม่ เน้นไว้พูดคุยกับเพื่อนและครอบครัวมากขึ้น มาภายใต้สโลแกนหรือ Tagline ว่า “Modern-day social network built around Messaging” (เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่สร้างขึ้นจากการส่งข้อความหากัน)
โดยแอป Messenger บนมือถือจะมีหน้าแสดง Stories ที่น่าสนใจแยกขึ้นมาอย่างชัดเจน และเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่สามารถแสดงสถานะหรือ Status ของตัวได้แล้วอีกด้วย
ซึ่ง Messenger ก็จะมีโปรแกรมเวอร์ชันบน Desktop ด้วย ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งบน Windows และ MacOS
ส่วนผู้ลงโฆษณา (Advertisers) ทั้งหลาย จะสามารถลงโฆษณาใน Messenger ได้แล้ว โฆษณาดังกล่าวมีชื่อว่า ‘Lead gen ads for Messenger’ สามารถสร้างได้จาก Ads Manager ของ Facebook และจะมี Business Tools สำหรับ Messenger ออกมาให้ใช้งานอีกด้วย
6. ใครขายของ Instagram จะมาโชว์บนหน้า Explore และเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปเริ่มใช้ฟีเจอร์ขายของ
ก่อนหน้านี้ thumbsup ก็ได้รายงานว่า Instagram เปิดตัวฟีเจอร์ Checkout ที่สามารถกดซื้อของ-จ่ายเงินได้ทันที ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้งานและแบรนด์ดังๆ ในสหรัฐเริ่มใช้ไปบ้างแล้ว
ล่าสุด Instagram จะเปิดฟีเจอร์ดังกล่าวให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้งานได้แล้ว รวมถึงจะนำประกาศขายของบน Instagram มาโชว์ในหน้า Explore เพื่อช่วยกระตุ้นการขายอีกด้วย เนื่องจาก 20 เปอร์เซ็นต์ของเวลาที่ใช้งานบน Instagram ผู้ใช้มักจะอยู่บนหน้า Explore (อ้างอิงข้อมูลจากผลประกอบการ Facebook ที่ออกมาช่วงเดือนตุลาคม 2561)
นอกจากจะช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้ขายสินค้าบน Instagram ได้มากขึ้นแล้ว ยังถือเป็นการสร้างแหล่งรายได้ (Revenue Stream) ให้กับ Facebook อีกด้วย
7. Instagram เริ่มทดสอบการซ่อนยอดไลก์อย่างเป็นทางการ
นโยบายของ Facebook ในช่วงหลังเริ่มใส่ใจผู้ใช้มากขึ้น แน่นอนทำให้ผู้บริการ Instagram อย่าง Adam Mosseri ตอบรับนโยบายดังกล่าวปรับแนวคิดฐานราก (Fundamental) ของแอป ด้วยการทดลองซ่อนยอดไลก์ของภาพและยอดวิวของวีดีโอ ซึ่ง thumbsup ได้เคยรายงานไปก่อนหน้านี้แล้ว
ซึ่งเจ้าของ Instagram จะยังสามารถตรวจสอบมาตรวัดการเข้าถึง (Engagement metrics) ต่างๆ ได้เหมือนเดิม แต่คนอื่นจะไม่สามารถเห็นข้อมูลดังกล่าวได้
นอกจากนี้ Instagram ยังเปิดตัวโหมดกล้องใหม่ในชื่อ Create Mode ที่เปิดใช้ผู้ใช้งานสามารถโพสต์คอนเทนต์ที่ไม่ใช่รูปภาพหรือวีดีโอได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยโหมดกล้องดังกล่าวจะแนะนำเอกเฟ็กต์หรือสติกเกอร์ที่เหมาะสมขึ้นมาให้
และยังเปิดตัว Donation Sticker สติกเกอร์ที่เปิดรับบริจาคเงินให้กับองค์กรการกุศลหรือสาธารณะต่างๆ ขึ้นมาอีกด้วย
8. Spark แพลตฟอร์ม AR ของ Facebook เปิดให้เหล่า creators ใช้มากขึ้น
ข้อมูลจากผลประกอบการที่ออกมาเมื่อเดือนที่แล้ว ระบุว่ายอดผู้ใช้แอปในเครือ Facebook (Facebook, Instagram, WhatsApp และ Messenger) ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 2,700 ล้านรายแล้ว ซึ่งมีผู้ใช้ 1,000 ล้านรายที่มีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวกับ AR อยู่ แม้ Facebook จะไม่ได้มีเทคโนโลยีแพรวพราวเท่า Snapchat
แต่ตอนนี้ทั้ง Facebook, Messenger, Instagram และอุปกรณ์ที่ออกมาใหม่อย่าง Portal ก็รองรับ AR เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย Facebook เปิดตัวแพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนาและนักสร้าง (creators) ทั่วไป ด้าน AR ที่ชื่อว่า Spark AR ขึ้นมาให้ใช้ได้ทั้งบน Windows และ Mac (แต่บาง Tools อาจจะใช้ได้แค่บน Mac)
โดยผู้พัฒนา Spark AR สามารถเริ่มนำชิ้นงานตัวเองมาใส่บน Instagram ได้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งถือเป็นทางเลือกใหม่สำหรับแบรนด์ต่างๆ ที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้ใช้บน Instgarm (ก่อนหน้านี้ Snapchat มีเครื่องมือสนับสนุนแบรนด์ต่างๆ มาก่อนแล้ว)
ดูวีดีโอบันทึกงาน F8 2019 ย้อนหลังได้ที่ด้านล่างนี้
ที่มา : Digiday